พวกเรานัดเจอกันใต้สะพานลอยตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ จุดแลกเปลี่ยนกึ่งถูกกฎหมายที่ไม่มีใครคิดจะหันมามองสองรอบ พี่ต้นยืนอยู่ตรงนั้น ถือถุงพลาสติก 7-Twelve ใบโต—ดูเหมือนเขาใช้มันเป็นกระเป๋าสตางค์—ข้างในป่องออกด้วยแบงก์สด และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า 2 ห่อ
Sponsored Ads
“อย่าถามว่าฉันไปหาเงินมาจากไหน” เขายื่นถุงให้ “แต่เชื่อเถอะ วงฉันจะกินรสต้มยำไปทั้งสัปดาห์”
ฉันแอบชะโงกดูข้างใน เงินจำนวนห้าพันบาท—มีทั้งแบงก์ยี่สิบ แบงก์ห้าสิบ และแบงก์ร้อยในปริมาณฉุกเฉินมาก มีกลิ่นบุหรี่และความสิ้นหวังลอยมาแผ่วเบา
“มันงดงามมาก” ฉันพูดด้วยความจริงใจ
เขาหัวเราะ “แล้วผลงานชิ้นเอกของฉันล่ะ?”
ฉันยกซองเอกสารบาง ๆ ขึ้นเหมือนกำลังถือพระธรรมคำสอน ข้างในเป็นคอร์ดแฮนด์เมด เนื้อเพลงเต็ม รูปแบบโครงสร้างเพลงละเอียด และแผ่นซีดี ที่เขียนด้วยลายมือว่า “คนไม่มีสิทธิ์ – DEMO – ver. Producer ThanaKorn”
แถมพิเศษ ฉันยังหยิบสมุดบันทึกของตัวเองออกมา—ยับย่น เปื้อนเลอะ และมีรอยเท้าลาเต้ประดับอยู่หลายหน้า—แล้วยื่นให้ราวกับเป็นคัมภีร์โบราณ
“มีโน้ตจัดเตรียมดนตรีด้วย” ฉันอธิบาย “เปลี่ยนจังหวะเล็กน้อย มีแนะนำอินโทร ถ้าพี่จะขึ้นเวทีพร้อมไฟก็มีบอกด้วย ถึงแม้—พูดตามตรง—โอกาสจะน้อยมากก็เถอะ”
พี่ต้นจ้องสมุดเหมือนฉันยื่นคัมภีร์พระไตรปิฎกให้
“นี่เขียนหมดนี่เลย?”
“ฉันละเอียด” ฉันตอบเรียบ ๆ “หรือไม่ก็หมกมุ่น เส้นมันบางมากระหว่างกัน”
Sponsored Ads
———————
แนะนำวง (หรือ โรงรถ ความฝัน และพัดลมตั้งพื้นพัง ๆ)
คืนนั้น ฉันตามพี่ต้นไปยังที่ซ้อมของวง—ห้องแถวเก่าแถวบางโพที่ดูเหมือนเคยเป็นคาราโอเกะก่อนที่ฝันจะพังลง
สมาชิกวงนั่งแผ่บนโซฟาหนังเก่าที่ขาดกลาง ล้อมด้วยแอมป์ฝุ่นเกาะ ขวดน้ำอัดลมเปล่า และพัดลมส่ายหน้าโดนผีสิงที่หมุนอยู่ตรงกำแพงตลอดเวลา
“ทุกคน” พี่ต้นพูดด้วยความภูมิใจ “นี่คือกรณ์ นักแต่งเพลงของเรา และโปรดิวเซอร์ด้วย เขาเป็นคนให้เพลงเรามา”
พวกเขามองฉันเหมือนฉันเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่หลุดมาจากแผ่นเสียงไวนิล
แล้วพี่ต้นก็ยื่นแผ่นเดโมให้พวกเขา
“เปิดเลย” พี่ต้นพูดจริงจัง “เดี๋ยวนี้เลย”
บอล มือกลอง หยิบแผ่นซีดีไปใส่ในเครื่องเสียงเก่าที่ดูเหมือนพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ทันทีที่อินโทรแบบ lo-fi ดังขึ้น—กีตาร์เพี้ยนเล็กน้อย เสียงซ่าเบา ๆ ลอยมาเหมือนวิญญาณเก่า—ทุกคนในวงโน้มตัวไปข้างหน้า
แล้วเสียงฉันก็เริ่มร้อง
…แย่
ไม่ถึงกับร้องแล้ววิ่งหนี แต่ก็แย่พอที่ทุกคนทำหน้าเหมือนเผลอกินน้ำส้มสายชูโดยคิดว่าเป็นโค้ก
ฝ้าย มือคีย์บอร์ด (และผู้หญิงคนเดียวในวง) กระพริบตาสองครั้ง “นั่น…เสียงนายเหรอ?”
“ใช่” ฉันสารภาพอย่างภูมิใจพอ ๆ กับคนที่เพิ่งยอมรับว่าไปร้องคาราโอเกะแย่สุดในชีวิต
“มัน…ดิบดี” แดง มือกีตาร์คนที่สองพูดอย่างพยายามรักษาน้ำใจ
“มัน…ดีนะ” เอกเสริม พร้อมเลิกคิ้ว
“เหมือนมีคนเอาความเสียใจไปปั่นในเครื่องปั่น แล้วลืมปิดฝา” บอลพึมพำ
พี่ต้นนั่งเงียบ หน้าตานิ่งสนิท พอเพลงจบลง ความเงียบก็ท่วมทั้งห้อง แล้วเขาหันมาทางฉัน
“ฉันชอบมาก”
ทุกคนหันมามองเขา เหมือนเขาเพิ่งประกาศว่าตัวเองอยากแต่งงานกับแซนด์วิชชีสย่าง
“มันคือของจริง” เขาว่า “เราไม่ต้องการความเนี้ยบ เราต้องการหัวใจ แล้วนี่แหละ—หัวใจล้วน ๆ”
นั่นแหละคือวินาทีที่ฉันรู้สองอย่างพร้อมกัน:
หนึ่ง ฉันอาจเพิ่งได้ความเคารพจากวงนี้
สอง ฉันหนีไม่รอดแล้ว ยังไงก็ต้องโปรดิวซ์เพลงนี้ให้จบแบบจริงจัง
Sponsored Ads
———————
ชำแหละเพลง (แค่เพลงนะ ไม่ใช่สติของฉัน)
ฉันเปิดสมุดบันทึก แล้วเริ่มอธิบายโครงสร้างเพลง พวกเขาฟังอย่างตั้งใจเหมือนฉันกำลังเทศน์จากคัมภีร์
อินโทร: กีตาร์ฟิงเกอร์พิกแบบใส ๆ “สร้างบรรยากาศ—เบาแต่มีจริต”
ท่อนแรก: “ค่อย ๆ สร้างอารมณ์ ปล่อยให้เบสหายใจได้ ฝ้าย ฮาร์โมนีของเธอจะช่วยดึงพรีคอรัสให้ลอยขึ้นมา”
ท่อนสอง: “เสียงเต็มวง อารมณ์ต้องมาแน่น ๆ คิดว่า ‘ยอมรับโชคชะตาแล้ว แต่ยังไม่โอเคกับมัน’”
ท่อนบรรเลง: “ใส่โซโลหนัก ๆ ให้กระชากใจ”
เอาท์โทร: “ถอดทุกอย่างออก ให้มันจบเบา ๆ แบบยอมแพ้ด้วยศักดิ์ศรี”
ทุกคนพยักหน้าตาม สีหน้าเข้าใจ ฝ้ายเคาะปากกากับคีย์บอร์ดเบา ๆ “คิดมาเยอะเลยนะเนี่ย”
“เยอะเกินไปด้วยซ้ำ” ฉันตอบ “ฉันคิดเรื่องนี้เยอะเกินควร”
พี่ต้นหันมายิ้ม “ยินดีต้อนรับเข้าสู่วงนะ โปรดิวเซอร์กรณ์”
“ลาเต้เป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ของฉันนะ” ฉันพูดเสริมทันที
“…ลาเต้?” เอกถามด้วยความงง
“แมวของฉัน” ฉันตอบจริงจัง “เขาอนุมัติงานสุดท้ายทุกไฟล์”
พวกเขาพยักหน้าอย่างช้า ๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าฉันพูดเล่นหรือจริง
…ซึ่ง ฉันไม่ได้พูดเล่น
หลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการจัดเรียงเพลง ถกเรื่องโทนเสียงของเครื่องดนตรี และเถียงกันว่า 6/8 ควรนับยังไง (เฉลย: ไม่มีวิธีไหนถูกต้องจริง ๆ) เราก็ปิดการซ้อมลงในคืนนี้
เรานั่งล้อมวงบนพื้น กินมาม่าด้วยส้อมพลาสติก ดื่มน้ำอัดลมจากแก้ววิสกี้เก่า
“เพลงนี้นะ” พี่ต้นพูดระหว่างเคี้ยว “มันจะโดนใจคนแน่ มันคือเรื่องของพวกเราทุกคน คนที่ติดอยู่ข้างล่าง”
“เพลงของคนที่ไม่มีชื่อเสียง” ฉันเสริม
“คนไม่มีชื่อเสียงที่พัดลมพัง กับแอมป์ยืมเขามา” ฝ้ายพูดเสริมพร้อมรอยยิ้ม
เราหัวเราะพร้อมกัน
Sponsored Ads
———————
ลาเต้—เช่นเคย—มีความเห็น
กลับถึงบ้าน ฉันทิ้งตัวลงบนฟูกอย่างหมดแรง
ลาเต้เดินมาดมกระเป๋าของฉันอย่างจริงจัง (น่าจะได้กลิ่นปลาจากขนมของบอล) แล้วกระโดดขึ้นมานอนข้างฉัน ร่างหนัก ๆ ของเขาวางพาดซี่โครงอย่างอบอุ่น
“ฉันส่งเดโมไปแล้วนะ” ฉันกระซิบ “ยังไม่ตาย พวกเขาชอบมัน…มั้ง”
ลาเต้กระพริบตาช้า ๆ แล้วเอาหัวมาชนคางฉันเบา ๆ
“ขอบใจนะ” ฉันพึมพำ “แต่นายก็ยังไม่ได้ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์อยู่ดี”
เขาสะบัดหางเหมือนรำคาญ ก่อนจะขดตัวกลายเป็นขนมปังก้อนกลมที่เต็มไปด้วยการตัดสิน
ด้านนอก กรุงเทพยังคงส่งเสียงจาง ๆ อยู่ในความมืด—เสียงมอเตอร์ไซค์ เสียงพ่อค้าเร่ตะโกนขายหมูปิ้งยามดึก เสียงหึ่ง ๆ ของป้ายไฟนีออนที่สัญญาว่าฝันนั้นเปิด 24 ชั่วโมง
ภายในห้องเล็ก ๆ ฉันมีแผน มีทีม มีเพลง
เป็นครั้งแรกในรอบนาน ฉันรู้สึกว่า…ฉันอาจจะกำลังมุ่งหน้าไปสู่ที่ไหนสักแห่ง
ฉันคว้าสมุดโน้ตขึ้นมา เขียนสิ่งสุดท้ายก่อนจะหลับตา
📖 “ข้าพเจ้าคือกวีในเงามืด
ข้าพเจ้าเขียนบทกวีด้วยความมืด
เพราะที่นี่ไม่มีข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่
ที่แห่งนี้มีแค่กวี
กวีที่เปรียบดั่งต้นไม้ประหลาด
ต้นไม้กลางพื้นที่รกร้าง
เป็นต้นไม้ที่รากชี้ฟ้าใบแผ่ใต้ดิน
นั่นแหละคือกวี
นั่นแหละคือข้าพเจ้า”
ในเงามืด รอนฝัน ตะวันเศร้า