017-กรณ์ส่งเดโม (หรือ วิธีทำให้วงดนตรีตกใจด้วยเสียงเพี้ยนอย่างไพเราะของฉัน)

พวกเรานัดเจอกันใต้สะพานลอยตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ จุดแลกเปลี่ยนกึ่งถูกกฎหมายที่ไม่มีใครคิดจะหันมามองสองรอบ พี่ต้นยืนอยู่ตรงนั้น ถือถุงพลาสติก 7-Twelve ใบโต—ดูเหมือนเขาใช้มันเป็นกระเป๋าสตางค์—ข้างในป่องออกด้วยแบงก์สด และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า 2 ห่อ

Sponsored Ads

“อย่าถามว่าฉันไปหาเงินมาจากไหน” เขายื่นถุงให้ “แต่เชื่อเถอะ วงฉันจะกินรสต้มยำไปทั้งสัปดาห์”

ฉันแอบชะโงกดูข้างใน เงินจำนวนห้าพันบาท—มีทั้งแบงก์ยี่สิบ แบงก์ห้าสิบ และแบงก์ร้อยในปริมาณฉุกเฉินมาก มีกลิ่นบุหรี่และความสิ้นหวังลอยมาแผ่วเบา

“มันงดงามมาก” ฉันพูดด้วยความจริงใจ

เขาหัวเราะ “แล้วผลงานชิ้นเอกของฉันล่ะ?”

ฉันยกซองเอกสารบาง ๆ ขึ้นเหมือนกำลังถือพระธรรมคำสอน ข้างในเป็นคอร์ดแฮนด์เมด เนื้อเพลงเต็ม รูปแบบโครงสร้างเพลงละเอียด และแผ่นซีดี ที่เขียนด้วยลายมือว่า “คนไม่มีสิทธิ์ – DEMO – ver. Producer ThanaKorn”

แถมพิเศษ ฉันยังหยิบสมุดบันทึกของตัวเองออกมา—ยับย่น เปื้อนเลอะ และมีรอยเท้าลาเต้ประดับอยู่หลายหน้า—แล้วยื่นให้ราวกับเป็นคัมภีร์โบราณ

“มีโน้ตจัดเตรียมดนตรีด้วย” ฉันอธิบาย “เปลี่ยนจังหวะเล็กน้อย มีแนะนำอินโทร ถ้าพี่จะขึ้นเวทีพร้อมไฟก็มีบอกด้วย ถึงแม้—พูดตามตรง—โอกาสจะน้อยมากก็เถอะ”

พี่ต้นจ้องสมุดเหมือนฉันยื่นคัมภีร์พระไตรปิฎกให้

“นี่เขียนหมดนี่เลย?”

“ฉันละเอียด” ฉันตอบเรียบ ๆ “หรือไม่ก็หมกมุ่น เส้นมันบางมากระหว่างกัน”

Sponsored Ads

———————

แนะนำวง (หรือ โรงรถ ความฝัน และพัดลมตั้งพื้นพัง ๆ)

คืนนั้น ฉันตามพี่ต้นไปยังที่ซ้อมของวง—ห้องแถวเก่าแถวบางโพที่ดูเหมือนเคยเป็นคาราโอเกะก่อนที่ฝันจะพังลง

สมาชิกวงนั่งแผ่บนโซฟาหนังเก่าที่ขาดกลาง ล้อมด้วยแอมป์ฝุ่นเกาะ ขวดน้ำอัดลมเปล่า และพัดลมส่ายหน้าโดนผีสิงที่หมุนอยู่ตรงกำแพงตลอดเวลา

“ทุกคน” พี่ต้นพูดด้วยความภูมิใจ “นี่คือกรณ์ นักแต่งเพลงของเรา และโปรดิวเซอร์ด้วย เขาเป็นคนให้เพลงเรามา”

พวกเขามองฉันเหมือนฉันเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่หลุดมาจากแผ่นเสียงไวนิล

แล้วพี่ต้นก็ยื่นแผ่นเดโมให้พวกเขา

“เปิดเลย” พี่ต้นพูดจริงจัง “เดี๋ยวนี้เลย”

บอล มือกลอง หยิบแผ่นซีดีไปใส่ในเครื่องเสียงเก่าที่ดูเหมือนพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ทันทีที่อินโทรแบบ lo-fi ดังขึ้น—กีตาร์เพี้ยนเล็กน้อย เสียงซ่าเบา ๆ ลอยมาเหมือนวิญญาณเก่า—ทุกคนในวงโน้มตัวไปข้างหน้า

แล้วเสียงฉันก็เริ่มร้อง

…แย่

ไม่ถึงกับร้องแล้ววิ่งหนี แต่ก็แย่พอที่ทุกคนทำหน้าเหมือนเผลอกินน้ำส้มสายชูโดยคิดว่าเป็นโค้ก

ฝ้าย มือคีย์บอร์ด (และผู้หญิงคนเดียวในวง) กระพริบตาสองครั้ง “นั่น…เสียงนายเหรอ?”

“ใช่” ฉันสารภาพอย่างภูมิใจพอ ๆ กับคนที่เพิ่งยอมรับว่าไปร้องคาราโอเกะแย่สุดในชีวิต

มัน…ดิบดี” แดง มือกีตาร์คนที่สองพูดอย่างพยายามรักษาน้ำใจ

“มัน…ดีนะ” เอกเสริม พร้อมเลิกคิ้ว

“เหมือนมีคนเอาความเสียใจไปปั่นในเครื่องปั่น แล้วลืมปิดฝา” บอลพึมพำ

พี่ต้นนั่งเงียบ หน้าตานิ่งสนิท พอเพลงจบลง ความเงียบก็ท่วมทั้งห้อง แล้วเขาหันมาทางฉัน

“ฉันชอบมาก”

ทุกคนหันมามองเขา เหมือนเขาเพิ่งประกาศว่าตัวเองอยากแต่งงานกับแซนด์วิชชีสย่าง

“มันคือของจริง” เขาว่า “เราไม่ต้องการความเนี้ยบ เราต้องการหัวใจ แล้วนี่แหละ—หัวใจล้วน ๆ”

นั่นแหละคือวินาทีที่ฉันรู้สองอย่างพร้อมกัน:

หนึ่ง ฉันอาจเพิ่งได้ความเคารพจากวงนี้

สอง ฉันหนีไม่รอดแล้ว ยังไงก็ต้องโปรดิวซ์เพลงนี้ให้จบแบบจริงจัง

Sponsored Ads

———————

ชำแหละเพลง (แค่เพลงนะ ไม่ใช่สติของฉัน)

ฉันเปิดสมุดบันทึก แล้วเริ่มอธิบายโครงสร้างเพลง พวกเขาฟังอย่างตั้งใจเหมือนฉันกำลังเทศน์จากคัมภีร์

อินโทร: กีตาร์ฟิงเกอร์พิกแบบใส ๆ “สร้างบรรยากาศ—เบาแต่มีจริต”

ท่อนแรก: “ค่อย ๆ สร้างอารมณ์ ปล่อยให้เบสหายใจได้ ฝ้าย ฮาร์โมนีของเธอจะช่วยดึงพรีคอรัสให้ลอยขึ้นมา”

ท่อนสอง: “เสียงเต็มวง อารมณ์ต้องมาแน่น ๆ คิดว่า ‘ยอมรับโชคชะตาแล้ว แต่ยังไม่โอเคกับมัน’”

ท่อนบรรเลง: “ใส่โซโลหนัก ๆ ให้กระชากใจ”

เอาท์โทร: “ถอดทุกอย่างออก ให้มันจบเบา ๆ แบบยอมแพ้ด้วยศักดิ์ศรี”

ทุกคนพยักหน้าตาม สีหน้าเข้าใจ ฝ้ายเคาะปากกากับคีย์บอร์ดเบา ๆ “คิดมาเยอะเลยนะเนี่ย”

“เยอะเกินไปด้วยซ้ำ” ฉันตอบ “ฉันคิดเรื่องนี้เยอะเกินควร”

พี่ต้นหันมายิ้ม “ยินดีต้อนรับเข้าสู่วงนะ โปรดิวเซอร์กรณ์”

“ลาเต้เป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ของฉันนะ” ฉันพูดเสริมทันที

“…ลาเต้?” เอกถามด้วยความงง

“แมวของฉัน” ฉันตอบจริงจัง “เขาอนุมัติงานสุดท้ายทุกไฟล์”

พวกเขาพยักหน้าอย่างช้า ๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าฉันพูดเล่นหรือจริง

…ซึ่ง ฉันไม่ได้พูดเล่น

หลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการจัดเรียงเพลง ถกเรื่องโทนเสียงของเครื่องดนตรี และเถียงกันว่า 6/8 ควรนับยังไง (เฉลย: ไม่มีวิธีไหนถูกต้องจริง ๆ) เราก็ปิดการซ้อมลงในคืนนี้

เรานั่งล้อมวงบนพื้น กินมาม่าด้วยส้อมพลาสติก ดื่มน้ำอัดลมจากแก้ววิสกี้เก่า

“เพลงนี้นะ” พี่ต้นพูดระหว่างเคี้ยว “มันจะโดนใจคนแน่ มันคือเรื่องของพวกเราทุกคน คนที่ติดอยู่ข้างล่าง”

“เพลงของคนที่ไม่มีชื่อเสียง” ฉันเสริม

“คนไม่มีชื่อเสียงที่พัดลมพัง กับแอมป์ยืมเขามา” ฝ้ายพูดเสริมพร้อมรอยยิ้ม

เราหัวเราะพร้อมกัน

Sponsored Ads

———————

ลาเต้—เช่นเคย—มีความเห็น

กลับถึงบ้าน ฉันทิ้งตัวลงบนฟูกอย่างหมดแรง

ลาเต้เดินมาดมกระเป๋าของฉันอย่างจริงจัง (น่าจะได้กลิ่นปลาจากขนมของบอล) แล้วกระโดดขึ้นมานอนข้างฉัน ร่างหนัก ๆ ของเขาวางพาดซี่โครงอย่างอบอุ่น

“ฉันส่งเดโมไปแล้วนะ” ฉันกระซิบ “ยังไม่ตาย พวกเขาชอบมัน…มั้ง”

ลาเต้กระพริบตาช้า ๆ แล้วเอาหัวมาชนคางฉันเบา ๆ

“ขอบใจนะ” ฉันพึมพำ “แต่นายก็ยังไม่ได้ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์อยู่ดี”

เขาสะบัดหางเหมือนรำคาญ ก่อนจะขดตัวกลายเป็นขนมปังก้อนกลมที่เต็มไปด้วยการตัดสิน

ด้านนอก กรุงเทพยังคงส่งเสียงจาง ๆ อยู่ในความมืด—เสียงมอเตอร์ไซค์ เสียงพ่อค้าเร่ตะโกนขายหมูปิ้งยามดึก เสียงหึ่ง ๆ ของป้ายไฟนีออนที่สัญญาว่าฝันนั้นเปิด 24 ชั่วโมง

ภายในห้องเล็ก ๆ ฉันมีแผน มีทีม มีเพลง

เป็นครั้งแรกในรอบนาน ฉันรู้สึกว่า…ฉันอาจจะกำลังมุ่งหน้าไปสู่ที่ไหนสักแห่ง

ฉันคว้าสมุดโน้ตขึ้นมา เขียนสิ่งสุดท้ายก่อนจะหลับตา

📖 “ข้าพเจ้าคือกวีในเงามืด
ข้าพเจ้าเขียนบทกวีด้วยความมืด
เพราะที่นี่ไม่มีข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่
ที่แห่งนี้มีแค่กวี
กวีที่เปรียบดั่งต้นไม้ประหลาด
ต้นไม้กลางพื้นที่รกร้าง
เป็นต้นไม้ที่รากชี้ฟ้าใบแผ่ใต้ดิน
นั่นแหละคือกวี
นั่นแหละคือข้าพเจ้า

ในเงามืด รอนฝัน ตะวันเศร้า