041- ไม่มีพลุ มีแค่เสียงเพลง

ห้อง C ของ Star Beam Studio เล็กกว่าที่ฉันจินตนาการไว้ และเย็นกว่าอากาศข้างนอกอย่างไม่น่าเชื่อ พรมสะอาดแต่ซีดจาง เหมือนเคยเป็นสีเทาแล้วลืมไปว่าสีเดิมคืออะไร ผนังบุด้วยแผ่นอะคูสติกหม่น ๆ และมีแผ่นเสียงแพลตินัมใส่กรอบอยู่หนึ่งแผ่น มีรอยร้าวตรงมุมล่างเหมือนเคยร่วงตอนทะเลาะกัน แล้วไม่มีใครพูดถึงอีกเลย

Sponsored Ads

ฉันเดินเข้าไปเงียบ ๆ มือถือแฟ้มที่ใส่คอร์ดไว้แน่น เหมือนต้องยื่นให้ใครตรวจตรงประตู ไม่มีใครขอดู ไม่มีใครแม้แต่จะเงยหน้า

นีน่าอยู่ในห้องแล้ว ไม่มีสไตลิสต์ ไม่มีผมหางม้าตึงเงาวับ แค่เธอรวบผมด้วยหนังยางสีซีด พับแขนเสื้อขึ้นเหนือศอก เหมือนตั้งใจจะซักผ้าแล้วหลงเข้ามาในห้องอัดแทน

เธอไม่มองมาทางฉัน ไม่ใช่เพราะหยิ่ง แต่เหมือนยังไม่มองใครเลยทั้งวันมากกว่า ดุจดาว ในอีกด้านหนึ่ง กำลังพูดอยู่พอดีตอนฉันมาถึง

“ยกไมค์อีกนิด ตัด noise ตรงหัวลำโพง อย่าให้ low-end บวม”

เธอพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงแบบคนที่เคยใช้มันไล่ผู้บริหารให้หน้าซีด แล้วตอนนี้เอาไปใช้ กับวิศวกรเสียงแทน เธอไม่มองฉัน แค่ยื่นแก้วบางอย่างอุ่น ๆ มาให้ เหมือนเสกขึ้นจากอากาศ

ฉันพยักหน้า นั่งลงที่ขอบโซฟา จิบไปคำหนึ่ง ไม่ใช่กาแฟแน่ ๆ ห้องมีกลิ่นเหมือนขนมปังไหม้กับฟองน้ำหูฟังเก่า

หลังกระจก นีน่ากำลังวอร์มเสียง ไม่ใช่แบบโอเปร่าหรือยืดเส้นใหญ่โต แค่เสียงสั้น ๆ ออกเสียงสระ ทำนองที่กลัวจะไปไกลเกินตัว เธอยังไม่ใส่หูฟัง แค่หลับตา เอนตัวเข้าไมโครโฟนเหมือนหวังว่า ถ้าอ่อนโยนพอ มันจะตอบกลับมาดี

ฉันไม่พูดอะไร ไม่ใช่ผู้กำกับ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำหน้ายังไง แค่พยักหน้ากลับเมื่อดุจดาวมองมาแบบ “โอเคนะ” แล้วรอ

วิศวกรเสียง ชายผอม ๆ ใส่ผมหางม้า เสื้อเขียนว่า PRODUCERS DO IT WITH LAYERS ชูนิ้วโป้งจากโต๊ะมิกซ์

นีน่าพยักหน้ากลับ ใส่หูฟัง เสียงคลิกแทร็กเริ่มขึ้น แล้วเพลงก็เริ่ม

🎶 “ใครคนหนึ่งคนนั้น ในวันหนึ่งวันนั้น…” 🎶

มันสมบูรณ์แบบ ในเชิงเทคนิค ทุกโน้ตลงตรงเป๊ะ จังหวะนิ่ง ลมหายใจควบคุมอย่างตำรา การเลื่อนเสียงตอนจบคำก็ตรงกับแผ่นคอร์ดของฉันเป๊ะทุกบาร์

แต่ไม่รู้ทำไม มันเหมือนอ่านบทกวีผ่านกระจก ฉันโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เริ่มสังเกต

เสียงเธอลดลงต่ำเล็กน้อยตรงท่อน 🎶 “ไม่เรียกร้องให้กลับมา…” 🎶 เบาจนจับไม่อยู่ ขอบของคำมันลื่นจนไม่มีที่ให้เกาะ ท่อนฮุกของเพลงขยายใหญ่ แต่จากภายนอก ไม่ใช่น้ำหนัก แต่เป็นความเนี้ยบ

🎶 “ในภาพทรงจำสีจาง ๆ…” 🎶

ฉันไม่ได้ผิดหวัง ไม่เชิง แค่…รู้สึกขาดการเชื่อมโยง เหมือนฟังเงาของบางอย่างที่ฉันยังไม่ได้เขียน

ฉันมองดุจดาว เธอไม่ขยับ วิศวกรแตะอะไรบางอย่าง ขีดอะไรสักอย่างบนโพสต์อิท น่าจะเขียนว่า: OK ดี หรือไม่ก็: ใช้ได้ เล่นซ้ำได้

ท่อนสุดท้ายมา 🎶 “ในความทรงจำสีจาง ๆ…” 🎶

แล้วก็เงียบ โน้ตสุดท้ายค้างอยู่ในอากาศ เป๊ะ ระดับเสียงที่สมบูรณ์แบบ

ไม่มีใครพูดอะไร ทั้งนีน่า ทั้งดุจดาว ทั้งผู้ชายใส่เสื้อ PRODUCERS DO IT WITH LAYERS

ทุกคนเหมือนนั่งรอให้คนอื่นหายใจก่อน ฉันปล่อยให้ความเงียบนั้นอยู่ มันยังเป็นเพลง แต่ยังไม่ใช่เพลงที่มีความหมาย

Sponsored Ads

———————

เสียงในห้องกระจก

ความเงียบหลังจากเทคแรก ยืดยาวเกินกว่าจะเรียกว่า “ช่วงเว้นจังหวะ”

ไม่ใช่เพราะอึดอัด แค่… เต็มอิ่ม เหมือนห้องยังไม่อยากพูดแทรกตัวเอง เพราะมันยังฟังไม่เสร็จ แล้วดุจดาวก็โน้มตัวไปกดปุ่ม talkback เสียงของเธอยังคงนิ่ง ชัด และ ระมัดระวังอย่างที่คนเก่งมักเป็น

“พักสิบนาทีนะ นีน่า ดื่มน้ำก่อนก็ได้”

นีน่าพยักหน้าโดยไม่เงยขึ้นมอง ไหล่ยังตั้งตรง เธอถอดหูฟังออกช้า ๆ เหมือนมันอาจหักได้ถ้ารีบร้อนเกินไป แล้วเดินออกจากบูธไปโดยไม่พูดอะไร วิศวกรเสียงลุกขึ้น พึมพำว่าจะไปเช็คอะไรบางอย่าง แล้วก็ทิ้งที่ประจำไว้

เหลือแค่ฉัน กาแฟชงจากผงที่แช่นานเกินไป อากาศในห้องอัดที่เหมือนหายใจกลับเข้าไป กับเงาของนีน่าที่ยังชัดอยู่หลังแผ่นกระจก

เธอไม่เดินไปมา แค่ยืนอยู่เฉย ๆ แขนข้างหนึ่งกอดตัวเองไว้ อีกข้างจับขวดน้ำแน่นแต่ยังไม่เปิด ฉันเองก็ไม่ขยับ ไม่ได้ซ้อมคำพูดอะไรเลย ไม่คิดหาประโยคปลอบใจ แค่นั่ง มองผ่านกระจกกันเสียงที่ทำให้คนดูเหมือนความทรงจำ แม้จะยังอยู่ตรงหน้า

ตอนเธอกลับเข้ามา ไม่มีคำประกาศ ไม่มีแผน แค่พยักหน้าสั้น ๆ กับดุจดาว ราวกับแลก ความเข้าใจในครึ่งวินาที แล้วก็กลับเข้าไปในห้องกระจกอีกครั้ง

ครั้งนี้ ไม่มีการเลื่อนไมค์ ไม่มีการสะบัดสายหูฟังให้เข้าที่

เธอหลับตา เสียงคลิกแทร็กเริ่มขึ้น แล้วจางหายไป จากนั้น เสียงก็เริ่มขึ้น

🎶 “ใครคนหนึ่งคนนั้น ในวันหนึ่งวันนั้น…” 🎶

มันไม่สมบูรณ์แบบ และนั่นแหละ… คือจุดสำคัญ

ท่อนที่สองช้าลง ลมหายใจของเธอสะดุด—ไม่ใช่เพราะเธอจะหมดลม  แต่เพราะเนื้อเพลงทำให้เธอหยุด

🎶 “เก็บเอาไว้ในส่วนลึก ซ่อนอยู่อย่างนั้น…” 🎶

นั่นแหละ คือรอยแตก ไม่ใช่ดราม่า แค่รอยแตกเล็ก ๆ แค่โน๊ตในคำที่น้ำเสียงหล่นลง มันไม่ผิด แต่เปิดเผย เหมือนความคิดที่เธอไม่ได้ตั้งใจให้หลุด แต่ก็ปล่อยออกมา วิศวกรไม่หยุดเทค

ดุจดาวไม่กระพริบตา ฉันนั่งนิ่ง นิ้วโป้งกดเบา ๆ ไปที่ข้างแก้วเซรามิก ได้ยินเสียงติ๊กเล็ก ๆ จากขอบแก้ว ฉันไม่ได้คิดถึงคีย์ D ไม่ได้คิดถึงเทคนิคการร้อง ไม่ได้คิดถึงว่าผู้หญิงคนนี้ใช้เวลาสิบปีร้องเพลงของคนอื่น ด้วยเสียงที่ไร้เศษตกค้าง

ฉันแค่ฟัง เสียงที่เพิ่งได้รับอนุญาตให้ “ไม่ต้องแบกรับทุกอย่าง”

🎶 “แม้กระทั่งตอนนี้ เขายังอยู่ตรงนี้…” 🎶

เสียงของนีน่าเบาลง หายใจมากขึ้น มั่นคงน้อยลง แต่หนักแน่น เหมือนคนเดินเท้าเปล่าบนถนนที่ไม่ได้กลับมาเหยียบอีกนาน ท่อนสุดท้ายพองตัวขึ้น ไม่ใช่ด้วยระดับเสียง แต่ด้วยความหนาแน่นของความรู้สึก

แม้จะผ่านกระจก คุณก็สัมผัสได้ ความนิ่งนั้น น้ำหนักนั้น ความเจ็บปวดที่ไม่ต้องขออนุญาต

🎶 “ในความทรงจำสีจาง ๆ…” 🎶

แล้วทุกอย่างก็จบลง ไม่มีใครขยับตัว ไม่มีใครจำเป็นต้องขยับ เสียงยังค้างอยู่ในห้องกระจก เหมือนลมหายใจที่ฝ้าอยู่บนหน้าต่าง

ฉันไม่พูดอะไร ไม่จำเป็นต้องพูด ในห้องกระจก นีน่าลืมตา

และไม่หลบตา

Sponsored Ads

———————

อีเมล์เข้า

เมืองข้างนอกกำลังเปลี่ยนโทนอีกแล้ว

เป็นช่วงเวลาระหว่างที่เงาเริ่มยาว แต่ความร้อนยังไม่ยอมลาจากไป เสียงตามถนนเบาลง เหมือนทั้งบล็อกกำลังกลั้นหายใจ รอรอบถัดไปของแสงนีออนกับมอเตอร์ไซค์

ฉันไขประตูห้องด้วยท่าเดิม หมุนกุญแจด้วยสองนิ้วแบบมีจังหวะ ไม่ใช่เพราะมันจำเป็น แต่เพราะเจ้ากุญแจมันชอบติด ถ้าไม่ง้อกันหน่อย

ข้างในทุกอย่างก็ยังอยู่ที่เดิม พูดอีกแบบคือ ยังคงเบี้ยวอยู่นิดหน่อย

เครื่องเล่นเทปส่งเสียงฮัมเบา ๆ ทั้งที่ไม่ได้เปิดอะไร บนฝาครอบ มีลาเต้นอนขดอยู่ในท่า “ก้อนขนมปัง” อย่างสงบ หางกระดิกเบา ๆ ตาครึ่งปิดแบบแมวที่เหมือนใช้ทั้งบ่ายนั่งตัดคะแนนจักรวาลอยู่เงียบ ๆ

ฉันวางแฟ้มลงบนโต๊ะ ถอดรองเท้า แล้วพึมพำเบา ๆ ว่า “ก็ไม่ได้เอารางวัลกลับมาหรอกนะ…”

ลาเต้กระพริบตาเฉย ๆ เหมือนไม่ได้ขอให้พูด ฉันต้มมาม่าแบบไม่มีพิธีรีตอง ฉีกซองที่ไม่แน่ใจว่าซื้อมาตอนไหน เทลงชามพลาสติกที่มีรูปทรงคล้ายความเศร้า เติมข้าวเย็นค้างคืนลงไปหนึ่งช้อน เพราะเสียดาย แล้วก็เพราะฉันไม่เชื่อว่า “การซ้อนรสชาติ” จะเป็นสิทธิ์ของเชฟเท่านั้น ตอนที่เส้นมาม่ากลายเป็นอะไรบางอย่างที่กินได้

คอมพิวเตอร์เครื่องเก่าก็เพิ่งบูตเสร็จ เสียงพัดลมดังหอบเหนื่อย วินโดวส์ 98 วอลเปเปอร์เนินเขาเขียว และเสียงโมเด็มที่ยังดังในฟันแม้มันจะไม่ได้เสียบสาย

ฉันดับเบิ้ลคลิกไอคอน “EMAIL_THING”

มันเปิดช้า คงโกรธที่โดนเรียกใช้งาน มีอีเมลที่ยังไม่อ่านอยู่หนึ่งฉบับ

หัวข้อจดหมาย:
“Accepted: ครอบครัวกลางถนน – วารสารมองมาประจำเดือน, ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2543”

ฉันจ้องมันนานกว่าที่จำเป็น แล้วคลิก แต่ไม่ใช่ มันอยู่ตรงนั้นจริง ๆ

“เรียน คุณตะวันหลงทาง,
เรามีความยินดีจะแจ้งให้คุณทราบว่า เรื่องสั้น ‘ครอบครัวกลางถนน’ ของคุณได้รับการคัดเลือกเพื่อตีพิมพ์ในวารสารมองมาประจำฉบับเดือนพฤศจิกายน…”

“ค่าตอบแทน: 1,000 บาท จะโอนภายใน 7 วันทำการ
ขอบคุณสำหรับผลงานที่ทรงคุณค่า
– กองบรรณาธิการ วารสารมองมา”

ฉันอ่านจบหนึ่งรอบ แล้วอีกรอบ รอบที่สาม เพื่อให้แน่ใจว่ามันยังเขียนเหมือนเดิม

ชื่อของฉัน หรืออย่างน้อยชื่อที่ฉันเลือกใช้ ปรากฏอยู่ตรงนั้น ในรูปแบบตัวอักษรเรียบร้อยบนหน้าจอ: ตะวันหลงทาง

ไม่มีเสียงปรบมือ ไม่มีเศษกระดาษสีโปรยลงมา มีแค่เสียงแอร์จากหน้าต่างห้องข้าง ๆ
แล้วลาเต้ค่อย ๆ ลุก ยืดตัว แล้วนั่งลงในตำแหน่งเดิมเป๊ะ

ฉันปล่อยให้ความรู้สึกตื่นเต้นสงบลงอีกหน่อย ปล่อยมาม่าเย็นเกินจุดที่ควรกิน

แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ลาเต้… เขาตีพิมพ์ว่ะ”

ลาเต้กระพริบตา ครั้งเดียว ฉันถือว่านั่นคือการรับรู้ทางวรรณกรรม

ฉันเปลี่ยนเสื้อ ปกเสื้อยูนิฟอร์ม 7-Twelve ยังมีกลิ่นน้ำยาเช็ดพื้นกับความเหนื่อยเรืองแสง แต่ก็ใส่มันอยู่ดี

ฉันเปิดโฟลเดอร์ “Submissions” ในเครื่องคอมฯ เปิดไฟล์สเปรดชีต และพิมพ์

ชื่อเรื่อง: ครอบครัวกลางถนน
สถานะ: Accepted – พฤศจิกายน 2543
ค่าตอบแทน: ฿1,000

ฉันกด Save ปิดไฟล์สเปรดชีต

ฉันไม่ยิ้ม  ไม่แสดงอาการอะไรเลย แค่หยิบบัตรพนักงานใส่กระเป๋าสตางค์ เช็กว่าในกระเป๋ามีเหรียญขึ้นรถเมล์พอไหม อีกหนึ่งกะยังรออยู่ แต่ในอากาศตอนนั้น… มันเบาน้อยลงหน่อยหนึ่ง ไม่ถึงกับเบามาก

แต่ก็ใกล้ความเป็นของตัวเองมากขึ้นนิดหน่อย

Sponsored Ads

———————

ไม่มีพลุ มีแค่เสียงเพลง

ห้องไม่ได้เปลี่ยนไปไหน ไม่ใช่หลังอีเมลนั่น ไม่ใช่หลังคอร์ดสุดท้าย ไม่ใช่หลังคำสัญญาหนึ่งพันบาท หรือเสียงร้องที่ยังค้างอยู่ในหู พัดลมยังคงหมุนโค้งอย่างเกียจคร้าน แสงฟลูออเรสเซนต์เหนือโต๊ะยังคงส่งเสียงหึ่งแบบที่ฟังเหมือนฮัมเพลงเดิมมาตั้งแต่ยุค 80s แล้วไม่มีใครบอกให้มันหยุด

ฉันนั่งเงียบ ๆ ข้อศอกวางบนโต๊ะ ตะเกียบวางขวางบนชามมาม่าเปล่า ฉันไม่ได้ขยับตัวอยู่พักหนึ่ง ไม่มีใครบอกให้ทำ

แล้ว โดยไม่คิดอะไรมาก ฉันเอื้อมมือไปเปิดเครื่องเล่นซีดี เครื่องเก่า ขอบแหลม พลาสติกสีเหลืองกรอบเพราะโดนแดดลอดหน้าต่างที่เปิดไม่สุด

ฉันกดเล่น

🎶 “ใครคนหนึ่งคนนั้น ในวันหนึ่งวันนั้น…” 🎶

เสียงของนีน่าเติมเต็มทั้งห้อง ไม่ใช่เวอร์ชันซ้อม ไม่ใช่เทคแรกที่มีระดับเสียงที่สมบูรณ์แบบและไม่มีวิญญาณ แต่เป็นเทคที่สอง เทคที่เธอไม่ได้คิดมาก เทคที่เนื้อเพลงแตกเล็กน้อย  เทคที่เธอร้องเหมือนกำลังนึกถึง ไม่ใช่แสดง มันไม่ใช่เสียงของฉัน มันไม่ใช่เรื่องของฉันอีกต่อไป

แต่ท่วงทำนองยังเป็นของฉันอยู่ คอร์ดนั้น คีย์นั้น การหยุดก่อนท่อนสุดท้าย ลมหายใจหนึ่งเฮือก ก่อนคอรัสจะกลับมาเหมือนเพื่อนขี้อายที่ไม่กล้าเคาะประตู

🎶 “ในภาพทรงจำสีจาง ๆ…” 🎶

ฉันเอนหลัง ปล่อยให้เสียงไหลผ่านห้อง ปล่อยให้มันซึมเข้าไปในผนัง ระหว่างเสียงซ่าเบา ๆ ของลำโพงราคาถูก กับเสียงถอนหายใจของพัดลมเป็นพัก ๆ

ลาเต้ขยับตัวบนเครื่องเล่นเทป ขาหน้าข้างหนึ่งสอดเก็บไว้ใต้ตัวตาปรือ ไม่ได้ตัดสิน แค่อยู่ตรงนั้น

ฉันหันไปมอง ไม่ต้องเล่นหูฟังข้างเดียวแล้วนะ,” ฉันพึมพำเบา ๆ

ลาเต้ไม่ตอบ แน่นอนว่าไม่

หลังเพลงจบ ฉันเปิดสมุด “เพลง แผลเก่า และเงินกู้ที่ไม่ลด” เล่มที่ฉันใช้ประจำใช้จดค่าเช่า ร่างเพลง แล้วก็วันเกิดที่ไม่มีใครต้องจำแล้ว

ฉันเปิดข้ามหน้าคอร์ดของ “ความทรงจำสีจาง” ข้ามหน้าบัญชีหนี้ แล้วไปเจอหน้าที่จดรายได้จากการเขียน ด้วยดินสอ ฉันเขียนลงไปอย่างเรียบร้อย

฿1,000 – วารสารมองมา (ครอบครัวกลางถนน)

แล้วข้างล่าง ตัวเล็กกว่าเล็กน้อย:

8 พ.ย. – เพลงนี้เป็นของเธอแล้ว

ฉันปิดสมุด ไม่ใช่เหมือนบทสรุป แต่เหมือนเป็นเครื่องหมายจุลภาค

ฉันติดกระดุมเสื้อยูนิฟอร์ม เนื้อผ้าโพลีคอตตอนคุ้นเคยเกาะตัวผิดที่ กลิ่นคล้ายยาขัดพื้น
กับกลิ่นของอาหารไมโครเวฟเกินสามมื้อ ฉันเช็กกระเป๋า กุญแจ กระเป๋าสตางค์ สมุดจด

ระหว่างเดินไปที่ประตู ฉันเหลือบมองลาเต้อีกครั้ง ตอนนี้เขาขดตัวในท่าก้อนขนมปังเต็มรูปแบบ หางพันรอบลำตัวเหมือนกำลังเฝ้าแสงอาทิตย์ขนาดเล็กที่ไม่มีใครเห็น

ฉันไม่พูดอะไร แค่ล็อกประตู แล้วก้าวออกไปในค่ำคืน โลกไม่ได้เปลี่ยนไปไหน

แต่บางที ฉันอาจจะเปลี่ยนแล้วนิดหน่อย