033-บางเพลง…เกิดมาเพื่อบรรเลงหลังเสียงนกหวีดสุดท้าย

วันศุกร์สุดท้ายของเดือนกันยายนคืบคลานเข้ามา เหมือนแมวที่พยายามไม่ให้เจ้าของหอรู้ว่ามันแอบปีนระเบียงมา

วันเงินเดือนออก ฉันไม่ได้รู้สึกมัน แต่เห็นมัน กระดาษแผ่นหนึ่งพับอยู่ในล็อกเกอร์ของฉันที่ 7-Twelve เหมือนจดหมายแนบแง่คิดจากทุนนิยม ชื่อฉัน, รหัสพนักงาน, และตัวเลขวงกลมด้วยปากกาแดง

Sponsored Ads

ธนากร สิริพงษ์ชัย (พนักงาน #08772)

— ฿11,340 เข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพอภิวัตน์

ไม่มีซองใส่เงินสด ไม่มีเสียงกรอบแกรบให้สะใจ แค่สลิปเงินเดือนบาง ๆ และความรู้ว่าที่ไหนสักแห่งในโลกดิจิทัล ชั่วโมงภายใต้แสงฟลูออเรสเซนต์กับการเติมเบอร์ริโตแช่แข็งของฉัน ถูกเปลี่ยนเป็นตัวเลขในระบบราชการ

เมื่อกลับถึงห้อง ลาเต้นอนเหยียดยาวอยู่บนถุงของชำยับยู่ยี่ ท้องหงาย ตาหลับครึ่ง ๆ  เหมือนขุนนางแก่ที่กำลังไตร่ตรองไวน์วินเทจในห้องใต้ดิน

ฉันนั่งขัดสมาธิกับพื้น เปิดคอมพิวเตอร์เก่าขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อแต่งเพลง ยังไม่ใช่ตอนนี้
แต่เพื่อเช็กยอดเงินผ่านพอร์ทัลอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ที่โหลดช้าเหมือนถูกสาป และส่งเสียงโมเด็มเหมือนมันไม่พอใจชีวิต

ยอดเงินคงเหลือ: ฿21,340

฿11,340 จากกะดึก
฿10,000 จากค่าลิขสิทธิ์เพลง “เหยียบดาว” 

ฉันถอนหายใจเบา ๆ ยังไม่ใช่อิสรภาพ แต่ก็… เริ่มขยับได้แล้ว

ฉันหยิบสมุดบันทึกการเงิน ขนาด A5 มีชื่อเขียนด้วยปากกาน้ำเงินว่า “เพลง แผลเก่า และเงินกู้ที่ไม่ลด” แล้วเริ่มวางแผนงบประมาณแบบนักเศรษฐศาสตร์ที่ถังแตก

“โอเค…” ฉันพึมพำ ไม่รู้เพื่อให้ลาเต้ฟัง หรือปลอบใจตัวเอง

  • ฿5,000 ให้ลุงเอ ผู้มีเสน่ห์ระดับไซโคพาธที่ฉันยังเป็นหนี้อยู่ ฿265,000
  • ฿2,000 ให้หนี้กู้ยืมการศึกษา เพราะความทรงจำตอนเรียนแคลคูลัสตอนตีสามมันต้องมีราคา
  • ฿1,000 ให้แม่ กลายเป็นนิสัยไปแล้ว ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิด แต่เพราะมันเป็นจังหวะชีวิต

เหลือ ฿13,340

พอสำหรับค่าเช่าห้อง ค่าอาหาร เทปคาสเซ็ตต์ใหม่ ซีดีเปล่าอีกสองสามแผ่น แล้วก็อาหารแมวรสแซลมอนที่ลาเต้ชอบ (ถ้ามันไม่ก่อม็อบประท้วงว่าอยากกินเกรดพรีเมียมอีก) รวมทั้งทรายแมวสูตรเต้าหู้พรีเมียม

ลาเต้มองฉันตอนที่ฉันคำนวณในใจ แล้วกลิ้งตัวลงนอนเหมือนพระเอกละครที่เพิ่งรู้ว่าตัวร้ายคือพี่ชาย

“วิจารณ์เก่งเหมือนเดิมนะนาย” ฉันว่า พลางหย่อนสลิปลงในซองรีไซเคิลที่เขียนว่า
‘ความหวัง & ของกิน’

ฉันเอนหลัง ปล่อยให้พัดลมหมุนลมร้อนให้กลายเป็นลมที่พอทน

เมืองเดิม งานเดิม ความฝันเดิมที่ยังดื้อรั้น อยากเป็นอะไรมากกว่าแค่คนจัดชั้นวางบะหมี่กับฮัมเพลงป็อปร็อกให้นักท่องเที่ยวฟังตอนง่วง ๆ

แต่ฉันไม่ได้จมอยู่กับที่อีกต่อไป ฉันกำลังค่อย ๆ เคลื่อนไปข้างหน้า

หนี้ยังมีอยู่ ใช่ แต่คราวนี้ ฉันชำระมันด้วยคำที่ฉันเขียนเอง ด้วยทำนองของฉัน ด้วยความรู้สึกจากข้างในจริง ๆ

“โอเค…” ฉันพูด ใช้นิ้วเขี่ยหางลาเต้เบา ๆ

“อีกเดือนนะ ลองเขียนอะไรให้พาเราหลุดจากตรงนี้กันเถอะ”

เขาไม่ตอบ แค่กระดิกหางเบา ๆ แล้วหลับต่อ

Sponsored Ads

———————

บทเพลงสำหรับหลังเที่ยงคืน

สิ่งหนึ่งเกี่ยวกับเพลงก็คือ—คุณไม่มีทางรู้แน่ชัดหรอกว่ามันเริ่มขยับตอนไหน บางครั้งมันก็แค่… เปลี่ยน เหมือนแสงสะท้อนบนผิวน้ำที่ขังอยู่ข้างทาง คุณไม่ทันสังเกตเลย จนมันไหลเลยไปแล้ว พาเอาใบไม้ ก้นบุหรี่ และเศษวันของใครบางคนไปกับมัน

เพลง “เหยียบดาว” ก็เริ่มแพร่ไปแบบนั้น ไม่มีแสงสี ไม่มีโปสเตอร์ ไม่มีรอบพรีเมียร์ทางวิทยุ แค่คอร์ดเพียงสี่คอร์ดที่ถูกแทรกเข้าไปในเซตลิสต์ ระหว่างเพลงคัฟเวอร์ของ Rubberbomb กับเพลงกรันจ์เหงา ๆ (Creed – With Arms Wide Open) ที่พี่ต้นหมกมุ่นอยู่ในสัปดาห์นั้น ครั้งแรกที่เล่นสด ไม่มีใครสังเกตเลยด้วยซ้ำ
คืนวันพุธ คนดูครึ่งร้านสนใจแต่เบียร์ทาวเวอร์ลดราคา กับบุหรี่กานพลูกลิ่นพีชมากกว่าเนื้อเพลงที่พูดถึงการไล่ตามดวงดาว

ครั้งที่สอง มีคนหลังร้านคนหนึ่งฮัมท่อนฮุกตาม

🎶 “จะไปดวงดาวที่ไกลสุดปลายฟ้า…” 🎶

ครั้งที่สาม ฝ้ายสาบานว่าเห็นชายคนหนึ่งที่บาร์ อัดเสียงใส่ Walkman รุ่นเก่า พวก Sharp ปุ่มอัดสีแดง แบตไม่มีวันตาย เขาพยักหน้าเบา ๆ ไม่ปรบมือ แค่กด “rewind” ทันทีที่เพลงจบ

ปลายสัปดาห์นั้น เพลงนี้ก็มีชื่อแล้ว

“เปิดเพลงอวกาศหน่อย!”

“เพลงดาว ๆ นั่นอะ!”

“เออ เพลงเหยียบดาวนั่นแหละ!”

มันยังไม่ใช่เพลงฮิต ไม่ใช่แบบนั้น แต่มันเหมือนชีพจรเบา ๆ ที่เต้นในควันของบาร์กรุงเทพ ซ่อนตัวอยู่ระหว่างเก้าอี้เก่า ถั่วลิสงเย็น ๆ กับพนักงานเสิร์ฟที่รู้ดีว่าจะหลบตานักท่องเที่ยวเมา ๆ ยังไง

บ่ายวันศุกร์ ฝ้ายโทรหาฉัน ตอนฉันกำลังขูดคราบแกงแห้งจากหม้อหุงข้าว ด้วยช้อนพลาสติก

“เฮ้” เธอว่า “นั่งอยู่มั้ย?”

“ถ้านับแบบร่างกาย ก็นั่งอยู่ แต่ถ้าแบบจิตวิญญาณ ฉันกำลังจะสั่งส้มตำมากินแทนแล้วล่ะ”

“งั้นก็อย่าระเบิดนะ พอดีดีเจจากช่อง 9 โทรหาพี่ต้น”

ฉันตั้งตัวตรง “ช่อง 9 แบบ… ช่อง 9 ช่องนั้น?”

“ใช่ ช่องนั้นเลย รายการกีฬามั้ง เขาได้ยินเราเล่นเหยียบดาวที่ ZOE เมื่อคืน บอกว่า ‘รู้สึกบางอย่าง’ อยากใช้เพลงนี้ อาจจะประกอบมอนทาจ* ก็ได้”

ฉันกะพริบตาปริบ ๆ

“มอนทาจ? แบบ… ภาพตัดต่อแรงบันดาลใจของนักบอลเหงื่อท่วมหน้า?”

ฝ้ายหัวเราะ “ก็ประมาณนั้นแหละ พี่ต้นบอกว่าเธอจะประชดแน่ ๆ แต่เขาก็เตรียมตัวไว้จะไม่ใส่ใจแล้ว”

ฉันเอนหลัง ปล่อยให้โทรศัพท์แนบอยู่กับไหล่

เพลงที่ฉันแต่งตอนพักจากกะดึก นั่งคิดท่อนฮุกพร้อมคำนวณหนี้ในหัว ใช้กีตาร์มือสองกับ Cakewalk เถื่อน ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นเพลงประกอบความหวังและไฮไลต์ระดับชาติ

ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่

ตอนแต่ง “เหยียบดาว” ฉันไม่ได้พยายามจะฉลาด ไม่ได้ตั้งใจจะไล่ตามเทรนด์ แค่จำได้ว่ารู้สึกยังไง ตอนดูโฆษณา AFC Asian Cup ตอนตีสาม ขณะกำลังแพ็กขนมปังใส่ถุง

แสงไฟสนามที่ดูยิ่งใหญ่เกินชีวิต แม้จะอยู่ในจอที่ความละเอียดแค่ไหนก็ไม่รู้ ฉันอยากให้ทีมไทยชนะ ไม่ใช่เพราะฉันอินกับฟุตบอล แต่เพราะฉันแค่… อยากเห็นใครสักคนชนะ สักครั้ง แม้จะเป็นการชนะแทนกัน แม้จะเป็นแค่เรื่องสมมุติ

ลาเต้ไม่ได้อยู่กับฉันตอนฉันได้ข่าวนี้ มันคงนอนขดอยู่บนผ้าปูเตียงยับ ๆ หรือไม่ก็นั่งกลางโต๊ะเหมือนมันช่วยจ่ายค่าห้อง กิจวัตรยามเย็นของมัน เฝ้าสมุดของฉัน, ปล่อยขนอย่างมีจริต, และฝันถึงทูน่ากับการยึดครองโลก

ส่วนฉัน อยู่ในกะกลางคืนที่ 7-Twelve มองไฟนีออนสะท้อนกับกล่องหมากฝรั่ง
กับข้าวแกงไมโครเวฟ ระหว่างเช็ดพื้นเหนียว ๆ กับเติมน้ำดื่มในตู้แช่ ฉันก็เผลอฮัมขึ้นมาอีก

🎶 “แม้เธออยากให้ฉันลองเปลี่ยน แต่จะขอท้าทายอีกสักวัน…” 🎶

เมืองนี้ไม่เคยชะลอให้กับเพลงของคนอย่างฉัน แต่บางที แค่บางที มันอาจหยุดฟังอยู่สักไม่กี่วินาที

และในบาร์ที่มีควันลอย หรือบนทีวีจอเล็กในห้องเช่าของใครบางคน “เหยียบดาว” ก็กำลังเดินทางกลางคืนอย่างเงียบ ๆ

ไม่เลวเลย สำหรับเพลงที่แต่งใต้พัดลมเพดาน กับแมวที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่ข้าง ๆ

Sponsored Ads

———————

เสียงหนึ่งบนวิทยุ และประเทศที่เงยหน้ามองดาว

ถ้าคุณอยากสัมผัสพื้นผิวของความผิดหวังแบบรวมหมู่ ลองทำงานกะดึกในคืนที่ทีมชาติไทยแพ้ AFC Asian Cup ดูสักครั้ง จะได้คะแนนพิเศษเพิ่ม ถ้าตู้แช่ที่คุณพิงอยู่เสียงดังยิ่งกว่าความคิดในหัวของตัวเอง

ตอนนั้นเป็นเวลา 01:17 น. และฉันก็แสร้งทำเป็นไม่แคร์ เกมจบไปหลายชั่วโมงแล้ว ไทย 0 – อิรัก 2 สรุปสั้น ๆ บนข่าวค่ำอย่างเย็นชา เหมือนไม่มีใครร้องไห้กับเบียร์ลีโอ หรือคนขับแท็กซี่ที่ replay จังหวะพลาดในหัวทุกไฟแดง

ฉันพิงตู้โค้กของร้าน แขนกอดอก จ้องวิทยุพกพาตัวเล็กที่วางไว้ใกล้เคาน์เตอร์ จอทีวีหลักกลับกลายเป็นภาพลายเส้นอีกแล้ว เงาของโฆษณากะพริบคล้ายฝันที่เกือบลืม แต่ไม่สำคัญหรอก เกมมันจบไปแล้ว

ฉันยังไม่แน่ใจเลยว่าทำไมถึงยังฟังรายการคุยสดยามดึกอยู่ ดีเจที่จัดรายการชื่อ “เมย์” เสียงของเธอเหมือนไม้จันทน์หอม นุ่ม ลึก อบอุ่น ผิดที่ผิดทางอย่างสิ้นเชิงถ้าเทียบกับโฆษณาสดใสและสายโทรศัพท์เสียงดังรัว

“เมื่อครู่คือ ‘รักเราไม่เท่ากัน’ จาก Am Fine ค่ะ” เธอกล่าวด้วยเสียงเย็นเหมือนเมนทอล
“คืนนี้รับสายสุดท้ายก่อนจะพักกันนะคะ…”

มีเสียงคลิกเบา ๆ แล้วเสียงขยับตัว ผู้ชายคนหนึ่งกระแอมแผ่ว ๆ น้ำเสียงสั่น ๆ

“เอ่อ… สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะ” เมย์ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณอยู่ในสายแล้วนะคะ”

“คือ… ผมแค่อยากบอกว่า…” เขาหยุดไปเล็กน้อยเหมือนกำลังยืนอยู่บนสปริงบอร์ดเหนือความเงียบ

“ผมว่าคืนนี้ทุกคนคงเจ็บใจกันแหละ เรื่องบอลน่ะครับ”

มีช่วงหยุดเงียบ ไม่ใช่ความอึดอัด แต่เป็นช่องว่างที่เปิดไว้ให้ความเศร้าไหลออกมา

“ใช่ค่ะ” เมย์ตอบเบา ๆ “เมย์ก็คิดแบบนั้น”

“งั้น…” เขาว่า “ช่วยเปิดเพลง ‘เหยียบดาว’ ให้ได้ไหมครับ ผมว่าทีมชาติน่าจะได้ฟังนะครับ หรือไม่ก็… พวกเราทุกคน”

ฉันกลั้นหายใจ

เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วดีเจเมย์ก็ตอบ

“เมย์เตรียมไว้แล้วค่ะ เพลงนี้สำหรับทีมชาติ สำหรับคนที่ยังฝัน สำหรับทุกคนที่ยังพยายามอยู่”

แล้วเสียงคอร์ดแรกของเพลงก็ลอดผ่านเสียงคลื่นรบกวนออกมา ไม่ต้องมีการประกาศ ไม่มีดนตรีเปิด แค่ทำนองช้า ๆ ที่แน่นและมั่นคง จังหวะของบางอย่างที่กำลังจะลอยขึ้น
เสียงร้องเริ่มขึ้น

🎶 “จะไปดวงดาวที่ไกลสุดปลายฟ้า…” 🎶

ฉันยืนนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง ไม่ใช่แบบในหนัง ไม่มีออร์เคสตร้า ไม่มีไฟนีออน แค่นิ่ง เหมือนหน้าต่างบานหนึ่งถูกเปิดไว้ แล้วหัวใจของเมืองก็ค่อย ๆ ลอยเข้ามา ท่อนฮุกดังขึ้น และอากาศก็ดู… เปลี่ยนไป

บางแห่งในกรุงเทพ บางที… เด็กคนหนึ่งอาจหยุดร้องไห้ใส่เบียร์สิงห์ บางที… ใครสักคนอาจเลิกสบถใส่ท้องฟ้า หรืออาจมีใครนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ

🎶 “แม้เธออยากให้ฉันลองเปลี่ยน แต่จะขอท้าทายอีกสักวัน…” 🎶

ลาเต้ไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอก แน่นอนว่าเขาน่าจะกำลังหลับอยู่ที่ห้อง บนสมุดเนื้อเพลงของฉัน พร้อมทิ้งขนไว้ทั่วค่าลิขสิทธิ์ในอนาคตของฉันอย่างไม่ใยดี แต่ในวินาทีนั้น ฉันกลับนึกภาพเขาเดินเอื่อย ๆ ไปที่วิทยุ แล้วเอาหัวชนเบา ๆ อย่างเห็นด้วย เหมือนที่เขามักจะทำเวลาทำนองมันใช่ มันพอดี เป็นตรารับรองเงียบ ๆ ขนาดแมว ที่ไม่ต้องมีคำพูดอะไรเลย แต่ก็รู้สึกได้ทันทีว่า…มันใช่แล้วล่ะ

และฉัน ธนากร สิริพงศ์ชัย  พนักงานร้านสะดวกซื้อ นักแต่งเพลงโดยบังเอิญ เจ้าของหนี้ 265,000 บาทจากเจ้าหนี้นอกระบบ พร้อมด้วยหนี้กู้ยืมการศึกษาที่ใหญ่พอจะซื้อมอเตอร์ไซค์มือสองได้ ก็ยืนนิ่งอยู่ในร้าน 7-Twelve ฟังเพลงของฉันลอยไปทั่วอาณาจักรที่ฉันไม่เคยตั้งใจจะเอื้อมถึง

มันไม่ใช่ชัยชนะ มันไม่ใช่แม้แต่คำยืนยัน แต่มันเป็นบางอย่าง บางอย่างที่คล้ายกับความหวัง ที่ห่อหุ้มอยู่ในท่วงทำนอง ล่องลอยผ่านเมืองที่เหนื่อยล้าในค่ำคืนที่ยาวนานและบอบช้ำ

Sponsored Ads

———————

เสียงสะท้อนที่หวนกลับมา

อากาศด้านหลังร้าน 7-Twelve มักมีกลิ่นบางอย่าง คล้ายของที่เคยถูกย่างแต่แพ้ให้กับความชื้นไปนานแล้ว

ตอนนั้นเป็นเวลา 04:17 น. จบอีกหนึ่งกะดึกยาวนาน อาร์มออกเวรไปแล้วพร้อมเสียงอือในลำคอ กับถุงขนมปังเหลือที่พอจะประทังหิวได้ รถส่งของคันสุดท้ายหายลับไปกับเงาจาง ๆ บนถนนสุขุมวิท หลอดไฟนีออนหน้าประตูพนักงานส่งเสียงหึ่งเบา ๆ
เหมือนมันเองก็เหนื่อยเกินจะทำเป็นว่ามีประโยชน์

ส่วนฉัน… ฉันยืนอยู่บนลานจอดรถที่มีรอยร้าว มือซุกอยู่ในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน
มองฟ้ากรุงเทพฯ ที่ไม่เคยมืดสนิทสักที จริง ๆ แล้ว ฉันควรจะกลับห้องไปได้แล้ว แต่ฉันก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่เพราะเหตุผลยิ่งใหญ่อะไร แค่เพราะบางครั้ง เวลาที่เมืองหายใจออก และไม่มีใครกำลังมอง คุณจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของมัน
แค่ชั่วขณะเดียว แค่พอจะรับรู้ได้

เสียงของคนที่โทรเข้าไปในรายการวิทยุคืนนั้น หลังไทยแพ้อิรัก 2–0 ยังติดอยู่ในหัวฉัน
เหมือนเศษเสี้ยวของความฝันที่ยังไม่อยากตื่น

“ช่วยเปิดเพลง ‘เหยียบดาว’ ให้ได้ไหมครับ ผมว่าทีมชาติน่าจะได้ฟังนะครับ ผมว่าพวกเราทุกคนก็ควรจะได้ฟังเหมือนกัน”

เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนแต่ง เขาไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ใช่ของฉันคนเดียวอีกต่อไปแล้ว และแปลกดี นั่นกลับทำให้ฉันรู้สึกว่า มันเป็นของฉัน…ยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ

ที่ไหนสักแห่ง อาจมีเด็กคนหนึ่งบนรถเมล์ฮัมทำนองของเพลงนี้แผ่วเบา คนขับแท็กซี่อาจกดกรอเทปกลับหลังรับผู้โดยสาร แฟนบอลคนหนึ่งอาจพยายามนึกท่อนฮุกให้ออก ท่อนที่ร้องว่า

🎶 “จะไปดวงดาวที่ไกลสุดปลายฟ้า… ไปดวงจันทร์ที่ล่องลอยบนนภา…” 🎶

พระจันทร์คืนนี้ไม่เต็มดวง แต่มันก็ยังโผล่ขึ้นมาอยู่ดี เหมือนฉัน ที่ก็ยังอยู่ตรงนี้

ฉันยิ้ม เหนื่อย แต่เบาขึ้น

แน่นอนว่าลาเต้ไม่ได้อยู่กับฉัน มันน่าจะกำลังนอนอยู่บนกระดาษเนื้อเพลงของฉัน ขดตัวอย่างภูมิใจอยู่บนกองฝันและกองเส้นผมของตัวเอง พร้อมฝันถึงปลาทูน่ารสพิเศษที่เสิร์ฟพร้อมคำวิจารณ์ แต่ฉันก็ยังเงยหน้าขึ้น พูดเบา ๆ ไปยังอากาศ เผื่อว่ามันจะได้ยินผ่านความฝัน

“พวกเขาเปิดเพลงแล้วนะ มีคนขอให้เปิด มันทำให้เขารู้สึกบางอย่าง”

ถ้ามันอยู่ตรงนี้ มันคงสะบัดหางใส่ฉัน อารมณ์เหมือนจะบ่นว่าไปขัดขวางการงีบของเขา แต่ฉันจะถือว่านั่นคือการอนุมัติ

เมืองเริ่มขยับตัว เสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่าน แสงนีออนกระพริบ ที่ไหนสักแห่ง หม้อน้ำซุปเริ่มเดือดเพื่อต้อนรับมื้อเช้า

ส่วนฉัน… ฉันแค่ยืนอยู่ตรงนั้น เงียบ ๆ ตื่นอยู่ ไม่ได้ไล่ตามดวงดาวอีกต่อไป แต่รับฟังเสียงของมัน…ที่กำลังฮัมตอบกลับมา และในอีกไม่กี่ชั่วโมง เมื่อกรุงเทพฯ ตื่นเต็มตา เมื่อพาดหัวข่าวพาใจผู้คนไปไกลจากค่ำคืนนี้ ฉันก็จะยังอยู่ตรงนี้ เขียนเพลงบทใหม่ ไม่ใช่เพื่อชาร์ตเพลง แต่เพื่อความเงียบระหว่างรอยต่อเพลงบนคลื่นวิทยุ

*มอนทาจ (Montage) การตัดต่อภาพ
With Arms Wide Open
Creed