โทรศัพท์ดังขึ้นพอดีกับตอนที่ฉันกำลังพยายามโน้มน้าวลาเต้ว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสปลา ไม่ใช่ ของแทนมูสแซลมอนเกรดพรีเมียม เขาไม่เห็นด้วย เสียงดังมากด้วย
Sponsored Ads
ภาพในครัวจึงเป็นฉันยืนถือซองมาม่าที่แกะครึ่งเดียว ส่วนลาเต้เดินวนไปมาบนพื้นเหมือนนักชิมชื่อดังที่ถูกสบประมาท และในจังหวะนั้นเอง โนเกียเครื่องเก่าก็สั่นลั่นโต๊ะ
เสียงริงโทน MIDI กรอบแกรบราวกับกำลังบ่นชีวิตตัวเอง
เบอร์ไม่รู้จัก
แน่นอน ฉันรับสายด้วยน้ำเสียงของคนที่ทำใจเรื่องดอกเบี้ยไว้เรียบร้อยแล้ว
“กรณ์!” เสียงลุงเอ๋ดังกร้าว หวานเจี๊ยบแต่เต็มไปด้วยเจตนา “ลูกหนี้นักแต่เพลงอันดับหนึ่งของกรุงเทพฯ เป็นยังไงบ้างวันนี้?”
“ก็หวังว่าลุงจะลืมผมไปแล้วนะ” ฉันตอบ
“ไม่มีทางเลย แกเป็นคนโปรดของลุงเลยนะ เราผูกพันกันจะตาย”
“ตามกฎหมายก็ใช่”
เขาหัวเราะ
แต่ฉันไม่
“ว่าแต่… มันถึงเวลาประจำเดือนแล้วนะ มีอะไรจะมอบให้ลุงเอ๋คนนี้หรือยัง?”
ฉันหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา เปิดดูทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
217 บาทถ้วน หนึ่งรอบรถเมล์ กับไข่อีกสองฟองก่อนตาย
“เดี๋ยวผมจัดการให้ก่อนหมดวันนี้” ฉันว่า
“นั่นแหละที่ลุงอยากได้ยิน ติ๊กต็อกนะไอ้หนู ติ๊กต็อก…”
ติ๊ด…
ฉันเงยหน้ามองเพดาน พิจารณาอยู่นานว่าถ้าทิ้งตัวลงไปนอนแนบพื้นมันจะนับว่าเป็นการ ‘ทำอะไรบางอย่าง’ หรือเปล่า
ลาเต้ร้องแหลมขึ้นมาอีกหนึ่งที
“รู้แล้วน่า รู้แล้ว แกต้องการอาหาร ฉันต้องการเงิน จักรวาลต้องการความสมดุล”
ฉันหันไปหาคอมเก่า ๆ ตัวนั้น เปิดเครื่อง
แล้วพึมพำคำที่รู้ว่ามันจะช่วยเราทั้งคู่ได้—อย่างน้อยก็ชั่วคราว“ได้เวลา… ขายริงโทนแล้ว”
Sponsored Ads
———————
การกลับมาของธุรกิจริงโทน MIDI
มีบางอย่างที่รู้สึกแปลกแต่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับการทำริงโทน MIDI
มันเหมือนกับการแปลจิตวิญญาณของตัวเองให้กลายเป็นเสียงหุ่นยนต์จากปี 1998 แล้วหวังว่าจะมีคนยอมจ่ายเงินเพื่อได้ยินมันทุกครั้งที่ญาติโทรมายืมเงิน
ฉันทำสำเนาเพลงของตัวเองสองเพลง—“คนไม่มีสิทธิ์” และ “กรุงเทพมหานคร” อย่างละสิบแผ่น เขียนป้ายชื่อด้วยลายมือลงบนแผ่นซีดีเถื่อน แล้วทดสอบแต่ละแผ่นกับโนเกียรุ่นเก่าของฉัน เหมือนพ่อที่กำลังคัดกล่อมเด็ก
โนเกียเครื่องนั้น—ขอให้พระคุ้มครองวิญญาณอันทนทานของมัน—ยังใช้งานได้สมบูรณ์แบบ
“กอดฉันไว้”… “คนไม่มีสิทธิ์”… “กรุงเทพมหานคร”
ไม่เลวเลย จริง ๆ แล้วเพราะดีในระดับบีตต่ำ ๆ แบบนี้
จากนั้นฉันก็ยัดแผ่นทั้งหมดใส่ถุงพลาสติกใบเก่า (ซึ่งเคยเป็นถุงข้าวกล่องของ 7-Twelve) แล้วมุ่งหน้าไปยัง MBK—มหาวิหารใต้ดินของจอแตก หูฟังราคาถูก และร้านค้าที่สามารถมองออกได้ในสามวินาทีว่าใครคือ “นักดนตรีถังแตก”
ร้านแรก:
ชายในเสื้อฮาวายกับแว่น Oakley ปลอม เขาหัวเราะในจมูกใส่ฉันตอนขาย แต่ซื้อไปอย่างละแผ่น ฿1,000 ไม่แม้แต่จะขอใบเสร็จ
ร้านที่สอง:
เด็กวัยรุ่นที่อายุน่าจะน้อยกว่าริงโทน MIDI ของฉันอีก บอกว่ามีริงโทนเยอะพอแล้ว แต่รับ “กรุงเทพมหานคร” ไปเพราะแฟนเขาชอบ ฿500
ร้านที่สามถึงห้า:
ผลลัพธ์คละกัน ร้านหนึ่งพูดว่า “ฟังเหมือนเพลงที่พ่อผมฟังเลย”อีกร้านพยายามกดราคาฉันเหลือแผ่นละ 200 บาท ฉันจ้องหน้าเฉย ๆ แล้วเดินออกมา สิบวินาทีต่อมา เขาเรียกกลับและยอมจ่าย 800 บาทสำหรับทั้งคู่
พอแดดเย็นลงเป็นสีทองช่วงบ่ายแก่ ๆ ฉันก็เหงื่อโชกจนเปียกเสื้อที่สะอาดตัวสุดท้าย แต่ฉันขายไปได้อย่างน้อยสิบห้าจากยี่สิบแผ่น
บางร้านรับทั้งสองเพลง บางร้านเอาแค่หนึ่ง บางร้านถามว่าฉันมีเสียงรอสายด้วยมั้ย ฉันทำเป็นไม่ได้ยิน
ฉันนั่งอยู่ที่ศูนย์อาหารชั้นสอง พร้อมขวดน้ำเย็น ๆ แล้วเริ่มนับรายได้ ประมาณ หนึ่งหมื่นบาท
ไม่เลวเลยสำหรับสองชั่วโมงของการยิ้มแบบเกร็ง ๆ และขายเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณทางดนตรีให้กับคนแปลกหน้าที่เรียกฉันว่า “น้อง” ด้วยน้ำเสียงต่างระดับความเอ็นดู
กลับถึงบ้าน ลาเต้ก็รออยู่แล้ว เหมือนเขาสัมผัสได้ว่าฐานะทางเศรษฐกิจของบ้านเริ่มเปลี่ยนไป เขาดมถุงของชำ เจอซองมูสรสปลาทูน่าถุงใหม่ แล้วมองฉันด้วยการกะพริบตาช้า ๆ แบบอนุมัติโดยไม่อยากยอมรับ
“ยินดีด้วยนะ” ฉันพูด พร้อมโยนกุญแจลงบนโต๊ะ
มันไม่ใช่ชีวิตที่หรูหรา มันไม่ใช่ชีวิตที่ถูกกฎหมาย แต่มัน… ก็พอเพียงแล้ว
Sponsored Ads
———————
เขียนด้วยหัวใจเต็มเปี่ยมแต่กระเป๋าว่างเปล่า
เย็นนั้น ฉันไม่เปิดวิทยุ ไม่เปิด Cakewalk แม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ไม่ได้ต้ม
ฉันแค่นั่งอยู่ริมเตียงในห้องแสงสลัว—มีพัดลมตัวหนึ่งหมุนเบี้ยว ๆ อยู่มุมห้อง แสงจากจอมอนิเตอร์เครื่องเก่าในโหมดพักหน้าจอเรืองเบา ๆ คีย์บอร์ดไฟฟ้าวางอยู่ใต้หน้าต่างราวกับคำสัญญาที่ถูกลืม กีตาร์มือสองทรงหลังเต่าเอนอยู่กับผนัง ยังดื้อไม่ยอมตั้งสาย G ให้ตรงเหมือนเดิม
ลาเต้นอนขดอยู่บนหมอนข้างหลังฉัน หน้าตาเหมือนเป็นคนที่จ่ายค่าเช่าห้องนี้ ส่วนฉันแค่แอบอยู่ฟรี ๆ
ฉันเปิดสมุดโน้ตขาด ๆ เล่มเก่า เนื้อเพลงที่เขียนด้วยลายมือของฉันเอง แต่เหมือนมาจากชีวิตของคนอื่น ชีวิตของฉัน แต่ไม่ใช่เวอร์ชันในเส้นเวลานี้ บทกวีสั้น ๆ กระจัดกระจาย ที่บางทีก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยเกิดขึ้นจริงหรือแค่จำได้ลาง ๆ แล้วฉันก็เจอมัน
“กอดตัวเมื่อเหงา อุ่นไม่เท่าแม่กอด
ห่วงใยตลอด คือแม่เรา”
บทกลอน… บทเดียวกันกับที่อินเทอร์เน็ตบอกว่า เด็กอนุบาลที่ปากเปื้อนขนมยังแต่งได้ดีกว่า มันเจ็บนะ
แต่คืนนี้ ฉันไม่ได้ยินเสียงวิจารณ์พวกนั้นเลย ฉันได้ยินเสียงของเธอ ไม่ใช่แม่ของฉันจากโลกเก่า ยังไม่ใช่คนฉันรู้จักโลกนี้ด้วย แต่มีอะไรบางอย่าง… อยู่ระหว่างนั้น
เสียงฮัมเบา ๆ ที่เพี้ยนเล็กน้อย ระหว่างที่เธอแขวนเสื้อบนราวผ้าไนล่อนกลางแดด ฉันแทบจะเห็นมือของเธอได้ ได้กลิ่นผงซักฟอก ได้ยินเสียงผ้าปลิวเบา ๆ กับสายลม ฉันไม่รู้หรอกว่าความทรงจำนั้นเป็นของใครจริง ๆ แต่ที่แน่ ๆ มันรู้สึกเหมือนของฉัน และรู้สึก…จริง
Sponsored Ads
บางที ฉันอาจจะเริ่มกลายเป็นคนคนเดียว ไม่ใช่ชีวิตสองชีวิตที่ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน แต่เป็นเสียงเดียวที่ค้นพบจังหวะของตัวเอง ในโลกที่ไม่เคยถามหามันเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นฉันจึงเขียน
🎶 “จากบ้านนอกสู่เมืองฟ้า เดินมาตามหัวใจ
จากมาตามความฝันที่ใฝ่ หวังว่าต้องได้ดี…” 🎶
ทำนองเพลงไม่ได้มาในทีเดียว มันซึมออกจากปลายดินสอ ไหลออกจากความทรงจำ แล้วค่อย ๆ เกาะอยู่ตามขอบกระดาษเหมือนฝุ่น รวมเป็นบทเพลง รวมกันเป็นความจริง จดหมายไม่ใช่แค่ถึงแม่เท่านั้น แต่ถึงบ้านที่ฉันทิ้งไว้—ไม่ว่าเวอร์ชั่นไหนก็ตามที่เป็นเรื่องจริง
มันไม่ใช่เพลงที่เกิดมาเพื่อขึ้นชาร์ต มันไม่ได้ถูกแต่งให้ดูฉลาดเฉียบคม แต่มัน… จริง บางอย่างที่เป็นมนุษย์ บางอย่างที่เป็นความจริง บางอย่างสำหรับเธอ
🎶 “กอดตัวเองเมื่อยามเหงา อุ่นไม่เท่าแม่กอด
เหนื่อยก็ดูรูปแม่ตลอด เหมือนเป็นแรงผลักใจ…” 🎶
พอฉันเขียนจบบรรทัดสุดท้าย ก็เกือบสามทุ่มแล้ว เมืองด้านนอกเงียบลงจนเหมือนกลืนเสียงไปหมด แม้แต่เสียงคลื่นแทรกจากวิทยุก็เงียบหาย เงาของทุกอย่างนุ่มนวลลงใต้แสงไฟถนนสีส้ม อากาศอบอ้าว ราวกับฝนกำลังจะมา
ลาเต้ยืดตัว ลุกขึ้น แล้วเดินเหยียบสมุดโน้ตฉันพอดีตอนที่ฉันปิดมันลง—วางอุ้งเท้าลงตรงกลางหน้า เหมือนเซ็นรับรองบทสุดท้าย
“ขอบใจนะ” ฉันพูด “ผู้ชมเรื่องมากจริง ๆ”
เขาสะบัดหางเบา ๆ ฉันถือว่านั่นคือคำชม และคราวนี้ ฉันไม่ได้เก็บสมุดโน้ตเข้ากล่อง ฉันทิ้งมันไว้เปิดอยู่—กำลังรอ
เพราะบางที บางที ชีวิตนี้—ชีวิตที่ฉันไม่ได้เลือก— อาจจะเริ่มรู้สึก…เป็นของฉันจริง ๆ ก็ได้
ไอน้ำ