เครื่องคาราโอเกะตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของผม แผ่บรรยากาศชวนอึดอัดออกมา แม้จะดูฉูดฉาดด้วยสีสันที่ดูเกินพอดี ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ในตอนเย็นตรวจเช็กวงจรของมัน คาดว่าจะเจอสายไฟเสียหรือแบตสำรองซ่อนอยู่ แต่ทุกอย่างกลับดูปกติ ปกติเกินไป—ปกติจนผิดปกติ
Sponsored Ads
“นายแน่ใจนะว่าเครื่องนี้มันต้องสาป ไม่ใช่แค่พังเฉย ๆ?” ผมพูดขณะจ้องดูส่วนประกอบข้างใน
เอกที่ยังหน้าซีดจากเหตุการณ์ในโกดัง พิงเคาน์เตอร์และพูดเสียงแผ่ว “มันกระซิบชื่อผมเลยนะ นาวิน เครื่องจักรทั่วไปไม่ทำแบบนั้นหรอก นอกจากมันจะโดนผีสิง หรือถูกครอบงำ หรือ—”
“หรือเขียนโค้ดห่วย ๆ ไว้” ผมขัดจังหวะ “อย่าเพิ่งไปถึงขั้นไล่ผี”
ธนา นั่งอยู่บนเก้าอี้สตูลใกล้ ๆ กำลังอัดวิดีโอซึ่งผมเดาว่าคงจะไปลงไลฟ์สตรีมอีกแน่ “ยินดีต้อนรับสู่ตอนใหม่ของ ธนาสืบสวนเรื่องลี้ลับ!” เขาประกาศด้วยน้ำเสียงดราม่า พลางโบกมือให้กล้อง “คืนนี้เราจะดำน้ำลึกสู่ปริศนาอันมืดมนของคาราโอเกะ สปอยล์: ฉันจะร้องเพลง”
ผมถอนหายใจ หยิบแว่นขยายขึ้นมา “ถ้านายจะไลฟ์สตรีม อย่างน้อยก็ช่วยจับไฟฉายให้นิ่ง ๆ ด้วย”
Sponsored Ads
———————
การค้นพบที่ชวนขนลุก
ผมจ้องมองชิ้นส่วนภายในเครื่อง ผ่านฝุ่นและสนิมออกไป นั่นคือตอนที่ผมเห็นมัน—ลวดลายแกะสลักเล็ก ๆ จาง ๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นบนพื้นผิวโลหะ ลวดลายนั้นซับซ้อน บิดเป็นวงและเกลียวที่ทำให้หัวผมปวดถ้าจ้องนานเกินไป
“สัญลักษณ์” ผมพึมพำ พลางใช้นิ้วไล่ตามลวดลายนั้นอย่างระมัดระวัง “ใครบางคนสลักสิ่งนี้ไว้ในเครื่อง”
“สัญลักษณ์? แบบรูนเวทมนตร์อะไรแบบนั้น?” ธนาถาม พร้อมเล็งกล้องไปที่รอยแกะสลัก
“ก็ประมาณนั้น” ผมตอบ “มันคือกับดักพลังงานทางจิตวิญญาณ ใครก็ตามที่ทำแบบนี้ต้องการควบคุมหรือกักขังบางสิ่งไว้”
เอกเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด “ควบคุมอะไรล่ะ?”
“นายก็เดาไม่ต่างจากฉัน” ผมพูด “แต่เรากำลังจะหาคำตอบ”
Sponsored Ads
———————
เล่ห์กลของเครื่อง
ผมประกอบเครื่องคาราโอเกะกลับคืน โดยยังไม่แตะต้องสัญลักษณ์นั้น ถ้าเราต้องการเข้าใจว่ามันทำงานยังไง เราต้องทดสอบ และแน่นอน ธนาก็เสนอตัวเป็นคนแรก
“นี่แหละพวกนาย!” เขาพูดพลางยืนอย่างอลังการหน้ามิครโฟน “เตรียมพบกับประวัติศาสตร์คาราโอเกะ!”
เขาเลือกเพลงไทยป๊อปจังหวะสนุก แต่ทันทีที่เขาเริ่มร้อง เสียงจากลำโพงของเครื่องบิดเบือนเสียงของเขาให้กลายเป็นเสียงคำรามต่ำ ๆ น่าขนลุกที่ก้องไปทั่วร้าน เสียงนั้นทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว
“มันหยาบคายมาก” ธนาพูด พลางถอยห่างจากไมโครโฟน “ฉันไม่ได้ร้องแย่ขนาดนั้น!”
“อันนี้ก็เถียงได้” ผมพูดเบา ๆ ขณะก้มมองหน้าจอ
เอกไม่ยอมแพ้ เดินเข้ามาพร้อมพูด “ให้ผมโชว์ให้ดูว่าต้องทำยังไง” เขาเลือกเพลงบัลลาดช้า ๆ และเริ่มร้องด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย แต่ก่อนจะถึงท่อนฮุก หน้าจอก็กระพริบพร้อมแสดงคำเดียว
[ล้มเหลว]
เอกถอยหลังไป สีหน้าซีดเผือด “นี่มัน—”
ธนาไม่พลาดโอกาสแหย่ “สุดท้ายก็มีเครื่องคาราโอเกะที่พูดความจริง”
“ธนา ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดแบบนั้น” ผมพูด พลางจ้องหน้าจอที่คำว่า [ล้มเหลว] เริ่มจางลง แต่บรรยากาศในร้านกลับหนักอึ้งขึ้น พลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรไต่ขึ้นมาตามผิวหนัง
Sponsored Ads
———————
ผู้ชมจากเงามืด
ขณะที่เอกกับธนากำลังเถียงกัน เครื่องคาราโอเกะเริ่มส่งเสียงฮัมเบา ๆ เสียงนั้นดังขึ้นและลดลงเหมือนคณะนักร้องประสานเสียงที่อยู่ห่างไกล ผมก้าวเข้าไปใกล้ สัญชาตญาณทำให้มือของผมเอื้อมไปจับพระสมเด็จที่ห้อยอยู่รอบคอ หน้าจอของเครื่องเรืองแสงขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แสดงภาพ—เงามัว ๆ ที่เปลี่ยนรูปร่างจนกลายเป็นสิ่งที่ดูเหมือนฝูงชน
ฝูงชนปรบมือ การเคลื่อนไหวของพวกเขาเก้งก้างและผิดธรรมชาติ ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวจนน่าขนลุก พร้อมรอยยิ้มแปลกประหลาดที่จ้องมองเราผ่านหน้าจอ
“เอ่อ นาวิน?” เสียงของธนาเริ่มสั่น “ทำไมมีคนผีในเครื่องคาราโอเกะ?”
ผมไม่ตอบ ดวงตาจับจ้องไปที่สัญลักษณ์บนเครื่องที่เริ่มเรืองแสงจาง ๆ พลังงานของมันเต้นเป็นจังหวะเดียวกับเสียงฮัมของเครื่อง ฝูงชนที่เป็นภาพลวงตาเริ่มส่งเสียงดังขึ้น เสียงปรบมือของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเสียงตึง ๆ ช้า ๆ หนักแน่น ที่สะท้อนก้องไปทั่วร้าน
“นาวิน” เอกพูด เสียงสั่น “ช่วยอะไรหน่อยสิ”
ลำโพงของเครื่องส่งเสียง แทรก และเสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นชัดเจน
[ร้อง…หรือทุกข์ทรมาน]
ผมยืดตัวขึ้น มือกำพระสมเด็จแน่น “ได้” ผมพูด เสียงของผมสงบนิ่งแม้หัวใจจะเต้นแรง “ถึงเวลาทำให้มันเงียบแล้ว”
Sponsored Ads
———————
น่าตื่นเต้น
เครื่องเริ่มสั่น เสียงเชียร์ของผู้ชมที่ผิดธรรมชาติในหน้าจอดังขึ้นราวกับท้าทาย ผมคว้าสายสิญจน์จากกระเป๋า พันรอบไมโครโฟนแน่น เสียงกระซิบเงียบลง แต่หน้าจอกระพริบอีกครั้ง พร้อมข้อความที่น่าขนลุกว่า
[เสียงของคุณเป็นของฉัน]
เอกถอยหลัง สีหน้าซีดเผือด “นั่นมันหมายความว่าอะไร?”
“มันหมายความว่า” ผมพูด พลางหยิบเครื่องมือขึ้นมา “นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น”
Sponsored Ads