กลิ่นของอาหารเรียกน้ำย่อยสุดหรูและน้ำหอมราคาแพงกระทบจมูกทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในเพนต์เฮาส์หรูหรา ปาร์ตี้ปีใหม่กำลังครึกครื้นเต็มที่ ไฟนีออนกระพริบตามจังหวะเพลงป๊อปเสียงดังแบบไม่ต้องใช้สมอง ธนา ผู้ที่ดูจะตื่นเต้นเกินเหตุ ดึงผมไปหากลุ่มเพื่อนสายอินฟลูเอนเซอร์ของเขา ซึ่งกำลังหมกมุ่นกับการถ่ายเซลฟี่และไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเลย
Sponsored Ads
“มาเลย นาวิน” ธนาพูดพลางยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ “นายต้องเข้าสังคมบ้างนะ ใครจะไปรู้ บางทีคืนนี้นายอาจจะยิ้มก็ได้”
“ตอนนี้ฉันกำลังเข้าสังคมอยู่นะ” ผมตอบเรียบ ๆ “กับความคิดที่ว่านี่เป็นไอเดียแย่”
ธนาไม่สนใจคำพูดของผม เขาถูกดึงความสนใจไปที่ลำโพงบลูทูธไฮเทคที่วางอยู่บนเวทีชั่วคราว
“ดูสิ เจ๋งไหมล่ะ” เขาชี้ไปที่มัน “เพื่อนฉันสั่งเข้ามาเลย เสียงดีสุดๆ สั่งงานด้วยเสียงได้ด้วย น่าจะฉลาดกว่าพวกเราสองคนรวมกันอีก”
“มาตรฐานต่ำจริง ๆ” ผมพึมพำ แต่ธนาไม่ได้ยินเพราะเสียงเพลงกลบ
ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น—จนกระทั่งมันไม่เป็นเช่นนั้น
Sponsored Ads
———————
นับถอยหลังสู่ความโกลาหล
ห้านาทีก่อนเที่ยงคืน มีคนหรี่ไฟลง และฝูงชนก็รวมตัวกันรอบลำโพง แต่ละคนถือโทรศัพท์ในมือเตรียมบันทึกช่วงเวลาสำคัญ ธนาเอาศอกสะกิดผม พลางถือเครื่องดื่มที่เหลือครึ่งแก้ว “นี่คือการเริ่มต้นปีใหม่ที่นายอาจจะเลิกทำหน้าบูดก็ได้นะ”
“ฉันจะดื่มฉลองถ้านายเลิกไลฟ์สดเรื่องไร้สาระนี่”
“ตกลง” เขาพูด แล้วก็ละเมิดสัญญาทันทีด้วยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
การนับถอยหลังเริ่มต้นขึ้น สิบ…เก้า…แปด…
เสียงเฮดังขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ตัวเลขลดลง และชั่วขณะหนึ่ง ผมก็ปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลาย บางทีปีใหม่นี้อาจจะเริ่มต้นโดยไม่มีหายนะเหนือธรรมชาติ
“สาม…สอง…หนึ่ง—สุขสันต์วันปีใหม่!”
เสียงเชียร์ดังก้อง และลำโพงก็เปลี่ยนเพลงอัตโนมัติ แต่แทนที่จะเป็นเพลงแดนซ์สนุก ๆ กลับเป็นเสียงสวดลึกลับที่ต่ำและชวนขนลุกดังขึ้นแทน อากาศเหมือนจะหนักอึ้งขึ้น เสียงนั้นแผ่พลังแปลก ๆ เหมือนผ้าห่มชื้นที่คลุมทุกคนไว้
“นี่มันอะไรเนี่ย?” มีคนตะโกนขึ้น
Sponsored Ads
———————
เหตุการณ์เหนือธรรมชาติ
เสียงสวดดังขึ้นเรื่อย ๆ แทรกซึมไปทั่วห้องเหมือนมีชีวิต แขกในงานยืนนิ่ง สีหน้าของพวกเขาดูเหม่อลอยและกระสับกระส่าย ผู้หญิงคนหนึ่งใกล้เคาน์เตอร์บาร์เริ่มสะอื้นอย่างควบคุมไม่ได้ จับแก้วในมือไว้แน่นราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเธอไว้กับความเป็นจริง ขณะที่อีกมุมหนึ่ง ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในมุมห้อง พึมพำกับตัวเองว่า “ฉันขอโทษ…ฉันไม่ได้ตั้งใจ…”
ธนา ผู้มองโลกในแง่ดีตลอดเวลา พยายามจะทำให้บรรยากาศเบาลง “เอาน่า อย่างน้อยก็ไม่ใช่เพลง ‘Baby Shark’ ใช่ไหม?” เขาพูดพร้อมหัวเราะแห้ง ๆ
ผมส่งสายตาดุใส่เขา “ไม่ใช่เวลามาตลกนะ ธนา”
“ก็จริง” เขาพูด พลางก้าวไปทางลำโพง “เดี๋ยวฉันเปลี่ยนเพลงให้เอง—”
ก่อนที่ผมจะห้ามเขาได้ เขาก็แตะที่ปุ่มควบคุมลำโพง เสียงสวดไม่ได้หยุด แต่มันกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ คำพูดนั้นบิดเบี้ยวจนเกือบฟังออก ไฟบนลำโพงกระพริบเหมือนเครื่องสโตรบที่เสีย ส่งเงาน่ากลัววูบวาบไปทั่วห้อง และปาร์ตี้ที่เคยครึกครื้นก็เปลี่ยนเป็นความโกลาหลเหนือธรรมชาติอย่างสมบูรณ์
Sponsored Ads
———————
พลังของเสียงสวด
ความรู้สึกไม่สบายใจของผู้คนกลายเป็นความตื่นตระหนก พวกเขาพยายามเบียดเสียดกันไปที่ประตู บางคนจับศีรษะราวกับพยายามขับไล่เสียงนั้นออกไป คลื่นความคลื่นไส้ซัดกระหน่ำเข้ามาหาผม ราวกับเสียงสวดนั้นขุดลึกเข้ามาในความคิดของผมราวกับกรงเล็บ
“สิ่งนี้กำลังทำอะไรอยู่?” ผมพึมพำ ขณะที่ก้าวเข้าไปใกล้ลำโพง อากาศรอบ ๆ ลำโพงรู้สึกเหมือนถูกชาร์จพลัง ราวกับว่าอุปกรณ์นี้มีชีวิต ผมย่อตัวลงตรวจสอบตัวเครื่อง ไม่มีร่องรอยความเสียหาย ไม่มีร่องรอยการดัดแปลงแก้ไขใด ๆ—เพียงแค่การออกแบบที่ดูสมบูรณ์แบบเกินไป ซึ่งตอนนี้กลับดูน่าขนลุก
ธนาซึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังหวาดกลัว ถอยหลังออกไป “ฉันว่าเราดึงปลั๊กออกแล้วจบเรื่องเลยดีไหม?”
“นั่นเป็นสิ่งที่ฉลาดที่สุดที่นายพูดมาตลอดทั้งคืน” ผมตอบ
แต่ก่อนที่ผมจะไปถึงสายไฟ ไมโครโฟนก็ส่งเสียงแทรกขึ้นมา เสียงแหบพร่าและชั่วร้ายกระซิบเตือนอย่างน่าขนลุกว่า
[เจ้าไม่สามารถซ่อนตัวได้หรอก]
Sponsored Ads
———————
จุดพลิกผัน
ลำโพงเริ่มสั่นอย่างรุนแรง เสียงสวดดังขึ้นจนถึงจุดสูงสุด ห้องทั้งห้องสั่นสะเทือน แก้วน้ำบนบาร์กระทบกันเสียงดังราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นกำลังทดสอบขอบเขตของความเป็นจริง
“โอเค” ธนาพูดด้วยเสียงสูงปรี๊ดที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว “นี่ไม่เจ๋งแล้วอย่างเป็นทางการ”
“พาทุกคนออกไป!” ผมตะโกน พลางเบียดเสียดผ่านฝูงชนที่กำลังมึนงงเพื่อไปยังลำโพง “เดี๋ยวนี้เลย!”
ธนากระโดดเข้าปฏิบัติการทันที ช่วยนำแขกงานปาร์ตี้คนสุดท้ายออกไปทางประตู ขณะที่แสงจากลำโพงที่กระพริบอยู่เริ่มรวมตัวกันเป็นแสงสว่างจ้าจุดเดียว เสียงสวดหยุดลงอย่างกะทันหัน ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่น่าขนลุกยิ่งกว่า
“มันหยุดหรือยัง?” ธนากระซิบขณะโผล่หน้ามาจากหลังเคาน์เตอร์
ผมไม่ตอบคำถาม แต่เอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าและหยิบสายสิญจน์ขึ้นมา สายสิญจน์บาง ๆ สีขาวที่ได้รับพรจากพิธีกรรมมากมายจากย่าน้อยมาแล้ว แม้มันจะไม่ใช่เครื่องมือกำจัดผีที่ไฮเทค แต่ก็ทรงพลังพอที่จะผูกมัดพลังงานชั่วร้ายได้ชั่วคราว และผมก็ได้แต่หวังว่ามันจะเอาอยู่
Sponsored Ads
ผมเดินเข้าไปใกล้ลำโพงด้วยความระมัดระวัง หัวใจเต้นแรงจนแทบจะได้ยินชัดในหู อากาศรอบ ๆ ลำโพงเหมือนถูกชาร์จไฟฟ้า ราวกับว่ามันมีชีวิต
“อย่าเข้าใกล้มากเกินไป” ผมเตือนธนา ซึ่งตอนนี้ดูจะเข้ามาใกล้เกินไปสำหรับความปลอดภัย
“ไม่ต้องบอกก็รู้” เขาพึมพำ พลางค่อย ๆ ขยับไปใกล้ประตู
ผมคุกเข่าลงข้างลำโพงที่ยังสั่นอยู่ เริ่มพันสายสิญจน์รอบ ๆ อย่างแน่นหนา สานมันเป็นลวดลายที่ตั้งใจและแม่นยำ มือของผมสั่นขณะที่ผมเริ่มสวดมนต์เบา ๆ บทสวดที่ย่าน้อยเคยสอนหลุดออกจากปากอย่างเป็นจังหวะ สายสิญจน์ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนเบา ๆ ขณะที่สัญลักษณ์บนตัวลำโพงตอบสนองต่อพลังงานจากสายสิญจน์
ลำโพงกระตุกอย่างรุนแรงเหมือนกำลังพยายามขัดขืน แต่สายสิญจน์ยึดแน่น แสงไฟกะพริบครั้งสุดท้ายก่อนจะหรี่ลงเป็นแสงสลัวที่น่ากังวล ผมมัดปมสุดท้ายให้แน่น ปิดผนึกการควบคุมชั่วคราว แล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ธนา ซึ่งตอนนี้หน้าซีดและตาเบิกกว้าง ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ “มัน…ปลอดภัยแล้วหรือยัง?”
“คำว่าปลอดภัยมันดูดีเกินไปหน่อย” ผมตอบ พลางลุกขึ้นยืน “แต่ตอนนี้มันถูกกักไว้แล้ว—อย่างน้อยก็ชั่วคราว”
ราวกับจะล้อเลียนผม ลำโพงส่งเสียงหัวเราะที่บิดเบี้ยวครั้งสุดท้าย เสียงต่ำและน่ากลัว ทำเอาผมขนลุก
“แล้วเราจะทำยังไงต่อ?” ธนาถามด้วยเสียงที่แทบกระซิบ
ผมจ้องไปที่ลำโพงที่ถูกสายสิญจน์พันไว้ ความหนักอึ้งของสถานการณ์กดลงบนบ่าผม
“ต่อไป” ผมพูดพลางจับสายสิญจน์ไว้แน่น “เราต้องรู้ให้ได้ว่าสิ่งนี้มันคืออะไรก่อนที่มันจะเริ่มร้องเพลงอีกครั้ง”
Sponsored Ads