เสียงโมเด็มดังก้องไปทั่วห้องเหมือนยุงที่มีโทรโข่ง
ลาเต้ซึ่งกำลังหลับตาพริ้มข้างปลั๊กไฟสะดุ้งเฮือก หันมามองเหมือนเพิ่งรู้ว่าโดนหักหลัง ก่อนจะพุ่งหลบเข้าข้างใต้โต๊ะทันที โมเด็มส่งเสียงกรีดร้องหนึ่งรอบ แล้วบ่นงึมงำ ก่อนจะต่อสายติดกับเครือข่ายที่น่าจะพาดผ่านนาข้าวสิบแปลงและเสาโทรศัพท์ที่ตายไปแล้วสามต้น
Sponsored Ads
เวลา 7:18 น. แสงนอกบ้านจางเหมือนภาพที่ซักแล้วสีตก แบบที่ทำให้รู้สึกว่าอะไรบางอย่างเพิ่งจบลง อย่างเงียบ ๆ และอาจจะถาวร แต่ไม่เหลือหลักฐานอะไรให้จับต้องได้
ฉันเปิดบราวเซอร์
หน้าเว็บของ เสียงระหว่างซอย ยังดูเหมือนเดิมเหมือนมันถูกสร้างขึ้นตอนที่ `<table>` ยังเป็นโครงสร้างแห่งศรัทธา
ไม่มีล็อกอิน
ไม่มีหน้าผู้เขียน
ไม่มีระบบตรวจสอบ
มีแค่แบบฟอร์มส่งต้นฉบับ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนยื่นกระดาษใส่ตู้ไปรษณีย์เก่า แล้วหวังว่าจะมีคนอ่านลายมือ
หัวข้อเรื่อง: วันที่ครอบครัวกลับบ้าน
ผู้เขียน: ตะวันหลงทาง*
ไฟล์แนบ: `family-returns-0416.doc`
ไม่มีอะไรในนั้นที่อธิบายว่า มันเขียนเกี่ยวกับหญิงชราที่ครอบครัวกลับมาเยี่ยมหนึ่งวัน แล้วทิ้งไว้แค่เปลือกส้มกับความเงียบ ไม่มีคำอธิบายว่ามันอิงจากแม่ หรือบ้านหลังนี้ หรือฉัน ที่พยายามทำเหมือนไม่เกี่ยวกับทั้งสามอย่าง
ลาเต้กระโดดขึ้นโต๊ะแล้วนั่งพิงเมาส์ไว้พอดี เขาหันหน้ามา กระพริบตาครั้งหนึ่ง แล้วเลียอุ้งเท้าอย่างใจเย็น ฉันตีความว่านั่นคือการอนุมัติแบบไม่ลงชื่อ
เคอร์เซอร์ค้างอยู่บนปุ่ม “ส่ง”
ฉันนิ่ง เหมือนเดิม ก่อนจะกด
หน้าจอไม่กระพริบ ไม่มีแอนิเมชัน ไม่มีอีเมลยืนยัน
มีแค่ข้อความเล็ก ๆ สีเทา
ต้นฉบับของคุณได้ถูกส่งเรียบร้อยแล้ว
เหมือนเสียงสะท้อนที่ตอบกลับมา
แผ่ว แต่พอจะฟังออก
ฉันกำลังจะปิดบราวเซอร์ แต่สัญชาตญาณทำให้เปิดกล่องเข้าอีเมลแทน
หนึ่งข้อความใหม่ปรากฏขึ้นทันที
Subject: “แจ้งกำหนดการโอนค่าลิขสิทธิ์เพลง ‘เจ้าหญิง’ จากพึ่งใจมิวสิค”
ไม่ใช่จากพี่ต้น ไม่ใช่จากไอรี แต่จากใครบางคนชื่อ คุณพราว ลงท้ายว่า “ฝ่ายบัญชี / พึ่งใจมิวสิค” ไม่มีอีโมจิ ไม่มีคำชม ไม่มี “ยินดีกับเพลงนะคะ”
แล้วก็ข้อความตามมาตรฐาน
“เพลง ‘เจ้าหญิง’ และ ‘เจ้ากระต่ายน้อย (Tale of the bunny)’ ที่คุณมีส่วนในการแต่งเนื้อร้องและทำนอง จะถูกรวมในรอบบัญชีประจำเดือนเมษายน 2544
ทางบริษัทจะดำเนินการโอนค่าลิขสิทธิ์ภายในวันที่ 30 เม.ย.
กรุณายืนยันเลขบัญชีภายในวันที่ 22 เม.ย.”
เท่านั้นเอง
ไม่มีใครเรียกฉันว่าอัจฉริยะ ไม่มีใครกล่าวหาว่าขโมย ไม่มีใครเขียนว่า “เพลงนี้เปลี่ยนวงการ”
มีแค่ฉันในระบบคนหนึ่ง เหมือนคนอื่น ๆ
ผู้รับ: ฝ่ายบัญชี / พึ่งใจมิวสิค
ผู้ส่ง: ธนากร สิริพงษ์ชัย
ไฟล์แนบ: `account-info.doc`
ข้อความ: “เรียนฝ่ายบัญชี ขอยืนยันเลขบัญชีสำหรับการโอนค่าลิขสิทธิ์เพลง ‘เจ้าหญิง’ และ ‘เจ้ากระต่ายน้อย (Tale of the bunny)’
ชื่อบัญชี: ธนากร สิริพงษ์ชัย ธนาคาร: Bank of New Siam สาขาสุขุมวิท 77
เลขที่บัญชี: XXX-X-XX999-X
ขอบคุณครับ”
ฉันกำลังจะกด Send
แต่รู้สึกเหมือนมีสายตาจ้องอยู่ ฉันหันไปข้างเมาส์ ลาเต้นั่งอยู่บนพอร์ต USB ขาหน้าทับกระดาษโน้ตบิลค้างจ่ายแบบพอดีเป๊ะ เขาจ้องจอด้วยสีหน้าแบบ ส่งไปก็ได้ แต่ถ้ารับเงินแล้วอย่าลืมซื้อปลาทู
ฉันกด Send เสียง click เบา ๆ ดังขึ้น
พอดีกับที่หางเขาแกว่งตัดสายเมาส์หนึ่งที เหมือนเป็นการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากระบบแมว
“ตั้งแต่วันนี้นายคือฝ่ายบัญชีฉันแล้วนะ” ฉันพูดกับเขา
ลาเต้ยกอุ้งเท้าข้างหนึ่งมาเลียเบา ๆ แบบไม่สนใจโลก ฉันถือว่านั่นคือ รับทราบ
ลมตะวันออกพัดม่านบาง ๆ ตรงหน้าต่างไหว พากลิ่นหญ้าเปียก น้ำมันดีเซล และเช้าที่เงียบผิดปกติเข้ามา
ฉันปิดโน๊ตบุ๊ค ปล่อยให้หน้าจอดับลง แล้วเดินออกไปตรงมะม่วงหน้าบ้าน ตรงที่แสงแดดกระทบพื้นพอดี เหมือนคำขอโทษจากวันก่อน
เสียง “ติ๊ก” เบา ๆ ดังมาจากข้างหลัง โมเด็มตัดการเชื่อมต่อ เหมือนมันพอแล้วเหมือนกัน
Sponsored Ads
———————
การทูตในเงามะม่วง
ต้นมะม่วงต้นนี้รู้ความลับมากกว่ากล่องจดหมายทั้งบ้านรวมกัน
แป้งนั่งอยู่บนม้านั่งไม้เตี้ยข้างหลังบ้าน ขาแกว่งเบา ๆ แบบคนที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองโตพอจะปฏิวัติโลก หรือยังเป็นเด็กอยู่ จานข้าวเหนียวหมูย่างวางอยู่ตรงกลาง ระหว่างเราสองคน แต่แทบไม่ได้แตะ เธอกำลังวาดอะไรบางอย่างลงในสมุด ฉันแยกไม่ออกว่าเป็นแมว หรือแผนยุทธศาสตร์
“ว่าแต่…” ฉันเริ่ม พลางพยายามไม่ทำเสียงเหมือนจะพังโลกเธอ
“ตอนนี้อยู่ ม. อะไร หรือว่าเลิกเรียนไปเป็นนักปรัชญาหลังบ้านแล้ว?”
“จบ ม.6 แล้ว” เธอตอบโดยไม่เงยหน้า
“สอบเอนท์เสร็จแล้ว ผลเพิ่งออกอาทิตย์ที่แล้ว”
ถึงว่า ออร่าความมั่นใจมันพุ่ง แบบที่มีเฉพาะคนที่รอดชีวิตจากข้อสอบแล้วยังเหลือจิตวิญญาณอยู่ครบ
“แล้วไงต่อ?”
เธอเงยหน้าขึ้นในที่สุด “ติด มหาวิทยาลัยล้านนาอารยะศาสตร์”
ยิ้มของเธอมั่นใจ แต่เป็นมั่นใจที่สมควรได้รับ
“ฟังดูเหมือนชื่อของลัทธิที่เพราะเกินไปนะ”
เธอปามะม่วงเปลือกหนึ่งใส่ฉัน
“จริง ๆ” เธอว่า “อยู่เชียงใหม่ คณะประวัติศาสตร์วัฒนธรรมกับการเล่าเรื่องทางสังคม”
“นั่นมันชื่อวิทยานิพนธ์ ไม่ใช่ชื่อคณะนะ”
“เอกภาพยนตร์กับการเล่าเรื่องเชิงสังคม” เธอพูดแบบไม่เห็นเป็นเรื่องยาก
“ภาพยนตร์และเรื่องเล่าเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เปิดรับแค่ที่นี่ที่เดียว ฉันได้ที่นั่น”
ฉันกระพริบตา “งั้นเธอจะไปกู้โลก… ด้วยหนัง?”
เธอไม่ตอบ
แค่ยิ้มแบบที่ทำให้ฉันรู้ว่า เธอเป็นน้องฉันจริง ๆ
“แล้วเรียนกี่ปี?”
“สี่ปี ถ้าไม่โดนไล่เพราะทำอาจารย์ร้องไห้ก่อน”
“แล้วจบไปจะเป็นอะไร นักปฏิวัติวรรณกรรมเหรอ?”
“ก็อาจจะ” เธอยักไหล่ “หรือไม่ก็ทำหนังสารคดีเรื่องคนที่ไม่มีใครขอให้แต่งเพลง”
ประโยคนั้นมันกระแทกอยู่เงียบ ๆ
“แม่โอเคเหรอ?”
“แม่บอกให้เก็บกระเป๋าเลย บอกว่านี่คือครั้งแรกในบ้านเราที่มีคนได้เรียนเล่าเรื่องโดยไม่ต้องอดตาย”
“เจ็บนะนั่น”
“คำพูดแม่ ไม่ใช่ของฉัน”
ฉันเอนหลัง มองลอดใบมะม่วงขึ้นไป
“แล้วปฏิวัติวัฒนธรรมของเธอเริ่มเมื่อไหร่?”
“รับน้องมิถุนายน ย้ายไปพฤษภา”
เร็วกว่าที่คิด คำนั้นลอยอยู่กลางอากาศเหมือนผ้าซักที่ยังไม่แห้ง
เธอพลิกหน้าสมุด “แล้วพี่ล่ะ กลับกรุงเทพฯ ตอนไหน?”
“พรุ่งนี้มั้ง” ฉันตอบ
“หลังจากไหว้ครบทุกวัดในรัศมีสิบกิโล”
เธอเหลือบตามองมานิดนึง แล้วพูดเบา ๆ ว่า
“ปีหน้าอย่ากลับมาทั้งตัวกับข้าวของนะ ฝากหัวใจไว้บ้าง”
มันไม่ได้เจ็บ แต่มันก็ไม่ลอยผ่านไปเฉย ๆ
ลาเต้เดินอาด ๆ เข้ามาในร่ม มองจาน มองฉัน มองแป้ง แล้วนอนแผ่หลาผึ่งแดดแบบประกาศว่าบทสนทนานี้ไม่คู่ควรกับเวลาเขา
แป้งหันไปมองเขา แล้วกลับมามองฉัน
“พี่ก็เหมือนแมวอ่ะ ทำท่าเฉย ๆ แต่จริง ๆ ใจไปไกลแล้ว”
“พูดงี้ไม่แฟร์เลย” ฉันว่า “ลาเต้อย่างน้อยยังจ่ายค่าเช่าด้วยสายตา… ฉันนี่ยืมข้าวเขากินอย่างเดียว”
เธอหัวเราะ สั้น ๆ แต่จริง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฉันพูดขึ้นว่า
“นี่ ถ้าวันนึงเธอทำหนังสารคดี แล้วอยากได้เพลงประกอบ… ให้ฉันแต่งให้ได้ไหม?”
เธอไม่ตอบทันที แค่ขีดอะไรบางอย่างในสมุด แล้วพูดแบบไม่เงยหน้า
“แค่ไม่แต่งให้คนร้องไห้ก็พอ”
“ตกลง” ฉันว่า “ไม่มีน้ำตา อาจจะแค่รู้สึกอึน ๆ พอประมาณ”
“คนดูหรือพี่?”
“ต่างกันตรงไหน ผลลัพธ์ก็คล้ายกัน”
เรานั่งเงียบกันอีกครั้ง แบบเงียบที่เกิดได้เฉพาะตอนที่เสียงดังมันจบไปหมดแล้ว เงียบแบบที่ไม่มีใครอยากพูด ถ้าไม่ตั้งใจจะพูดจริง ๆ
ฉันลุกขึ้น ปัดฝุ่นในจินตนาการออกจากกางเกง
“ถ้าเชียงใหม่มีเครื่องย้ายตัวเมื่อไหร่ บอกด้วยนะ” ฉันว่า “จะไปเยี่ยม”
“เก็บเงินซื้อปลาทูให้ลาเต้ก่อน” เธอพูด โดยไม่มองขึ้นมา
แฟร์ดี
Sponsored Ads
———————
รับรองโดยแมว
ส่งเรียบร้อย ด้วยความช่วยเหลือจากแมว
ฉันไม่ได้พิมพ์อะไรอีกเลย ไม่มีตอบกลับจากค่าย ไม่มีอีเมลยืนยัน ไม่แม้แต่ข้อความเด้งผิด โมเด็มถูกตัดการเชื่อมต่อไปหลายชั่วโมงแล้ว และด้วยเหตุผลบางอย่าง ความเงียบจึงดูเป็นทางการ
ลาเต้ แน่นอน ไม่มีความรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น
ตอนนี้เขานอนขดอยู่ที่ขอบโต๊ะ หางห้อยลงมาเหมือนเครื่องหมายจุลภาคที่มีความเห็น ตรงหน้าเขา มีซองน้ำตาลจาง ๆ เขียนว่า “สำรองจ่าย” วางอยู่ถัดจากตั๋วรถไฟเก่า กับปากกาที่น่าจะหมดหมึกตั้งแต่สมัยที่คลินตันยังเป็นประธานาธิบดี
ฉันมองซองนั้น แล้วก็มองเขา
“ยังไม่ตัดสินใจว่าจะให้เท่าไหร่เลยนะ” ฉันบอกเขา
เขาไม่ขยับ มีแค่เหยียดขาหน้าออกมาแตะซองเบา ๆ เหมือนประทับตราราชวงศ์
“เออ ๆ รู้แล้ว แม่ห้าพัน แป้งหมื่นหนึ่ง”
ตัวเลขฟังดูโอเคนะ ถ้าไม่นับว่าฉันยังไม่ได้รับเงินอะไรจริง ๆ เลย
ฉันขยี้ตา ห้องยังมีกลิ่นไม้เปียกกับพื้นปูนเย็น ๆ ข้างนอกมีไก่ขันอีกแล้ว เหมือนมีงานประจำแต่ไม่เคยรู้กะ
การให้เงินที่ยังไม่มี มันไม่ใช่หลักการการเงินที่น่าแนะนำ แต่หลังจากที่แป้งบอกว่าจะย้ายไปเชียงใหม่ในเดือนพฤษภา ฉันไม่อยากเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ใครต้องช้ากว่าเดิมอีกแล้ว
ลาเต้ลุกขึ้น หมุนตัวรอบเดียว แล้วนอนทับซองนั้นแบบเต็มพื้นที่
“ก็ไม่เชื่อดวงนะ แต่ถ้าแมวหนักเกินหกกิโลเลือกจะนอนทับซองไหน ฉันก็ฟังอยู่” ฉันพึมพำกับตัวเอง
บางอย่างในใจมันเหมือนตัดสินใจไปแล้ว
พรุ่งฉันจะเข้าอำเภอ ถอนเงินสด ขอใบรับรองหมอให้แมว อาจจะแวะซื้อตั๋วรถไฟกลับกรุงเทพ
ฉันไม่รู้ว่าที่นั่นมีอะไรรออยู่ แต่รู้ว่าส่วนนี้ของเรื่อง… กำลังจะจบลง และศาสดาตัวกลม ๆ หนึ่งตัว ก็กำลังอุ่นซอง “คำพยากรณ์” ซองนั้นอยู่แล้ว
Sponsored Ads
———————
การส่งต่อที่เงียบงัน
จริง ๆ แล้ว ฉันตั้งใจจะถอนเงินสด ตอนพาลาเต้ไปขอใบรับรองหมอแมวพรุ่งนี้ แต่พอแม่พูดเรื่อง “ยังไม่ได้ให้เงินค่าทำบุญกับหลวงพ่อ”
ฉันเลยขี่มอเตอร์ไซค์ของพี่วัฒน์มาอำเภอก่อนแบบงง ๆ ที่อำเภอข้างในยังปิดอยู่ มีแค่ตู้ ATM ที่หน้าร้อนเหมือนอบซาลาเปา
ตู้ ATM ในตัวอำเภอยังส่งเสียงเหมือนต้องต่อสายไปยมโลกก่อนจ่ายเงิน ฉันกดจำนวน ฿15,000 ดูมันครุ่นคิดเหมือนกำลังไต่สวนคุณธรรมส่วนตัวฉัน แล้วค่อย ๆ ปล่อยเงินออกมาด้วยท่าทีเหมือนกำลังตำหนิทรงผมฉันอยู่ในใจ
“ค่าธรรมเนียมถอนเงินต่างเขต: ฿25”
แน่นอนสิ รับไปเถอะ ทวยเทพแห่งระบบราชการ
ใบเสร็จพิมพ์ออกมางอ ๆ เหมือนลิ้นกระดาษ ฉันหยิบโดยไม่มอง แถมเงินที่ออกมาร้อนนิด ๆ เหมือนรู้ว่าเดี๋ยวจะเปลี่ยนมือเร็ว
พอถึงบ้าน แดดคลุมหลังต้นมะม่วงไว้พอดี ไม่ใช่แสงทองหรอก มันคือ แสงของการให้อภัย ประเภทที่ยอมให้เสื้อตากพลาด กับการตัดสินใจที่ควรคิดใหม่
ฉันเดินเข้าครัวเงียบ ๆ
แม่กำลังซอยมะละกอเหมือนเคยมีเรื่องบาดหมางกับมัน
แป้งกำลังพับผ้าห่มสี่ทบ ไม่สำเร็จแม้แต่การพับเป็นสามทบ
ฉันวางซองสองใบลงบนโต๊ะอาหาร ไม่มีชื่อ ไม่มีคำอธิบาย แค่ “น้ำหนัก” ที่ชัดเจนพอ
“อันนี้ของแม่” ฉันว่า พร้อมเคาะซองแรก
“อันนี้ของแป้ง”
ไม่มีใครขยับ แต่ก็ไม่มีใครแกล้งทำเป็นไม่เห็น
แป้งมองซอง ไม่เปิด
แม่เลิกคิ้วนิดหน่อย “เอาไว้ใช้เองบ้างก็ดีเน่อ”
“ไม่ต้องห่วง” ฉันตอบ “ยังมีพอ… สำหรับตั๋วกลับ กับอาหารแมว”
ลาเต้เดินเข้ามาพอดี เหมือนโดนเรียกด้วยพลังคำว่า อาหารแมว เขาดมขาโต๊ะ นั่งลงเหมือนขุนนางรอรับรายงาน แล้วกระพริบตาช้า ๆ ไปทางซองสองใบนั้น เหมือนอนุมัติโดยไม่ต้องเซ็น
เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก
ตอนเย็น ฉันหยิบชาเขียวปลอม ๆ จากร้านข้างทาง ออกไปนั่งที่ขั้นบันไดหลังบ้าน
ลาเต้เดินตามมาด้วย นอนแผ่ราบเหมือนพรมเปอร์เซียรุ่นดึก ขาหน้าพับเข้า ตัวไม่ขยับ ตาไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้มองอะไรเป็นพิเศษ
อีกสักพัก น้ำแข็งใสก็เดินเข้ามา ด้วยท่วงท่าของเจ้าของสิทธิ์อากาศทั้งหมดในบ้าน เธอเดินขึ้นโต๊ะดมเพียงครั้งเดียว แล้วนั่งลงตรงจุดที่ซองเคยวางเป๊ะ
ไม่มีใครบอก แต่เธอรู้ดีว่านั่นคือที่ที่พิธีเพิ่งเกิดขึ้น
ลาเต้สะบัดหางหนึ่งที แต่ไม่ลุก ไม่ขยับ เป็นการเจรจาสงบแบบไร้เสียง
ฉันมองแมวสองตัว
หนึ่งตัวแมวเมือง หนึ่งตัวแมวท้องถิ่น
หนึ่งตัวแมวศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งตัวแมวราชินีประจำบ้าน
แล้วคิดในใจว่า “บางทีการให้อะไรบางอย่าง อาจคือการยอมรับว่าเราก็เคยหายไปนานเกินไป”
ไม่มีคำขอบคุณ ไม่มีดนตรีบรรเลงลา ไม่มีคำพูดซึ้ง ๆ เกี่ยวกับ “เส้นทางที่ผ่านมาว่าฉันจะมาได้ไกลแค่ไหน”
มีแค่แมวสองตัว ซองสองใบที่อุ่นขึ้นนิดหน่อยจากสัมผัส กับท้องฟ้าที่สุดท้ายแล้ว ไม่ได้เร่งอะไรอีก
พรุ่งนี้ฉันจะพาลาเต้ไปตรวจสุขภาพ
แต่คืนนี้ ฉันปล่อยให้ความเงียบ เป็นคนเขียนบทสรุปให้วันแทน
Sponsored Ads