สายโทรเข้ามาหลังฉันล้างจานเสร็จพอดี ก่อนที่สมองจะมีโอกาสเถียงตัวเองว่า มาม่าไมโครเวฟก็นับเป็นการเตรียมอาหารเหมือนกัน
Sponsored Ads
ไม่น่าแปลกใจ ไม่น่าหงุดหงิดด้วยซ้ำ ก็แค่หนึ่งในสายที่รู้อยู่แล้วว่ามันต้องมา เหมือนฟ้าร้องหลังความเงียบ หรือชื่อเราที่มีคนตะโกนเรียกจากอีกฝั่งของแฟลต เพราะมีคนลืมเอาผ้าออกจากเครื่องซักรวมอีกแล้ว
โทรศัพท์สั่นครั้งเดียวบนโต๊ะ ข้าง ๆ ลาเต้ที่กลายเป็นก้อนขนทรงขนมปังนอนนิ่งอยู่ตรงขอบ ขาหน้าซ่อนไว้ใต้ตัว หางโค้งงอเล็กน้อย ดวงตาหลี่ลงแบบที่บอกเราว่า กึ่งหลับและยังตัดสินอยู่
เบอร์ไม่รู้จัก
ฉันกดรับ
“จ่ายมากขึ้นหน่อยสิเดือนนี้ หลานได้งานแล้วไม่ใช่เหรอ?”
น้ำเสียงลุงเหมือนเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ครึ่งคำ ครึ่งหนึ่งตำหนิ อีกครึ่งเหมือนอยากจะมีเสน่ห์ ถ้าอาชีพรีดไถไม่กินเวลาชีวิตขนาดนี้
ฉันไม่เถียง ไม่มีประโยชน์ เขาพูดถูก
“โอนให้ภายในพรุ่งนี้ครับ” ฉันตอบ ขณะคำนวณเลขในหัวแบบอัตโนมัติ “เท่าเดือนที่แล้วเลยครับ”
“อีกหมื่นห้า?”
“ครับ”
“โห ใจป้ำจังเลยช่วงนี้ หรือว่าชีวิตเริ่มมีแสง?”
ฉันไม่ตอบ ปล่อยให้เขาพ่นควันกับฟันของเขาไปเรื่อย
“โอเค ลุงจะรอดูยอดเข้า ถ้ามาช้า ก็แค่โทรอีกรอบ”
แล้วก็วางสาย ไม่มีคำลา ไม่มีคำขู่ แค่เสียงแปะเบา ๆ ของการตัดสาย ลาเต้เหลือบตามามองฉัน ดวงตาหรี่ลง เหมือนฟังทุกอย่างอยู่
“รู้แล้ว” ฉันพึมพำ ยืดคอเบา ๆ “แต่เราก็ยังอยู่ดีนี่”
ฉันเปิดสมุด “เพลง แผลเก่า และเงินกู้ที่ไม่ลด” เล่มเดิม ที่รวมทั้งเศษท่อนเพลง รายจ่าย และเบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ ที่ไม่แน่ใจแล้วว่าเคยเซฟไว้ทำไม
ยอดเงินล่าสุดตอนนี้:
฿20,000 → ค่าล่วงหน้าเพลง “ความทรงจำสีจาง”
฿6,000 → ขาย MIDI ริงโทนที่ MBK
฿13,608 → เงินเดือน 7-Twelve (14 วัน × 6 ชั่วโมง × ฿180 หัก 10%)
รวม: ฿39,608
รายจ่ายที่ผ่านมา:
฿15,000 → ลุงเอ๋
฿5,000 → ค่าเช่า
฿3,000 → ค่าใช้จ่ายประจำวัน (อาหาร, เทปเปล่า, ทรายแมว, ปลาซาร์ดีนฉุกเฉิน)
฿2,000 → หนี้ กยศ.
฿1,000 → ให้แม่ (ซองแห่งความรู้สึกผิด ไม่มีข้อแม้)
รวม ฿26,000
เหลืออยู่ ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน: ฿13,608
แล้วตอนนี้—เดือนใหม่ วนรอบกะใหม่:
80 ชั่วโมง × ฿180/ชั่วโมง = ฿14,400
หักภาษี 10% = ฿1,440
เงินเดือนสุทธิ: ฿12,960
นั่นแปลว่า ถ้าฉันกัดฟันอีกหน่อย ก็น่าจะส่งให้ลุงได้อีก ฿15,000 อาจต้องเลื่อนวันซักผ้า งดข้าวตราห่านบิน ภาวนาให้ลาเต้ให้อภัย หนี้ยังวางมือลงบนซี่โครงเหมือนเดิม—เหมือนมือเก่าที่ฉันรู้จักดี
แต่ครั้งนี้…มันไม่กดกลับมาแล้ว แค่นั้นก็รู้สึกเหมือนหายใจได้อีกครั้งหนึ่ง ยังขาดอีกนิด แต่ถ้าฉันงดกินแบบมนุษย์ไปสองวัน ก็น่าจะพอเติมส่วนที่ขาดได้
ความคิดนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นตระหนกอีกต่อไป มันรู้สึกเหมือนการซ่อมบำรุง เหมือนการหมุนล้อของรถที่ยังผ่อนไม่หมด
หนี้ยังอยู่ ใช่ แต่กำลังลดลง และฉันก็มีหลักฐาน
ฉันเกาหางลาเต้เบา ๆ มันยอมรับสัมผัสนั้นในแบบที่ราชวงศ์ยอมให้ประชาชนถวายมือ
“เดือนหน้าลุงจะโทรมาอีกใช่ไหม…” ฉันพึมพำ ครึ่งหนึ่งพูดกับมัน อีกครึ่งหนึ่งพูดกับพัดลมเพดานที่หมุนช้า ๆ
“…โอเค ผมจะรออยู่แล้วกัน”
ลาเต้กระพริบตาเฉย ๆ
ไม่ได้ยิ้ม ฉันก็ไม่ได้ยิ้ม แต่ครั้งนี้ มันไม่เจ็บแล้ว มันแค่ฟังดูเหมือน “ก้าวเดิน” เท่านั้นเอง
Sponsored Ads
———————
ตามตาต้องใจ
ฝนยังไม่ตก แต่ท้องฟ้าก็เริ่มคิดถึงมันแล้ว
ปลายพฤศจิกายนในกรุงเทพฯ มักจะกลั้นหายใจอยู่นาน เมฆเทาเหยียดยาวเหมือนผ้าลินินเก่า ๆ และแม้แต่อากาศก็ทำท่าเหมือนไม่อยากสัญญากับใคร
ในห้องของฉัน พัดลมบนเพดานหมุนเอื่อย เสียงกิ๊ก ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ปนกับเสียงหน้าต่างกระพือเบา ๆ
ลาเต้ขดตัวอยู่ข้างจอมออนิเตอร์คอมเครื่องเก่าของฉัน พุงแนบกับโต๊ะ ขาหน้าสอดไว้ใต้ตัว หางม้วนเข้าหากันอย่างวิจารณ์เบา ๆ เหมือนผู้ช่วยตัดสินลูกเทนนิสที่เลือกยืนชิดขอบโต๊ะ บริสุทธิ์ใจ มึนตึง และไม่เคยมีประโยชน์อะไรกับการทำงาน ที่ใต้โต๊ะ ซีพียูส่งเสียงฮึมฮัมราวกับกำลังลังเลว่าจะใช้ชีวิตต่อไปดีไหม ส่วนหน้าจอกระพริบเบา ๆ ทุกครั้งที่ฉันเปิดไฟล์ใหม่ น่าจะเป็นฟีเจอร์มากกว่าข้อบกพร่อง
ฉันไม่ได้กดเปิดเดโมอีก
ไม่ได้เปิด Cakewalk ไม่ได้แก้โปรเกรสชันคอร์ด ไม่ได้ฟังเสียงตัวเองที่ผ่านวนซ้ำราคาถูก คืนนี้ไม่ใช่เรื่องของเพลง คืนนี้เป็นของเธอ ฉันเปิดไฟล์เอกสารเปล่า พิมพ์ว่า
“โดย ตะวันหลงทาง”
แล้วก็เริ่ม
📖 “เด็กหญิงต้องใจอยากหัวใจวายตาย เพราะเด็กหญิงต้องใจได้ยินมาว่า มันคือการตายที่ฉับพลันและเจ็บปวดน้อยที่สุด เด็กหญิงต้องใจอายุ 9 ขวบ”
นิ้วของฉันค้างอยู่ ประโยคนั้นนอนนิ่งอยู่บนจอ
ฉันไม่รู้ว่าเธอมาจากไหน—เด็กคนนี้ ที่มีสายตาเกินวัยแต่ไม่มีที่พอให้แบกรับ แต่เธอก็อยู่ในหัวฉันทั้งสัปดาห์ ฉันเห็นเธอที่กับติวเตอร์สาว ที่คาเฟ่ Sae (세) ท่ามกลางความเงียบและแสงงาว
ต้องใจ ไม่ใช่ชื่อจริงของเธอหรอก แต่ฟังดูเหมาะดี
ลาเต้ขยับตัว เดินมานั่งทับปุ่ม delete
ฉันดันเขาออกเบา ๆ “ยังไม่ต้องลบนะเว้ย”
เขากระพริบตาช้า ๆ แล้วหันหลังให้
ฉันเขียนต่อ
📖 “หนึ่งบวกหนึ่ง จะเป็นสองไปได้อย่างไร เดี๋ยวก่อน ถ้ามีหนึ่งและอีกหนึ่งมาจากไหน แล้วมาบวกกันทำไม แค่นั้นก็เป็นปัญหาใหญ่อยู่แล้ว สมมติว่าพ่อเป็นหนึ่ง บวกกับอีกหนึ่งคือแม่ ก็เป็นสามชัด ๆ เพราะพอสองคนนั้นมาบวกกันเราก็เกิดมาเป็นสาม”
เธอเป็นเด็กประเภทที่ถามคำถามที่ผู้ใหญ่ทำท่าเอ็นดู แต่ลึก ๆ แล้วไม่อยากตอบ เป็นเด็กประเภทที่ทำให้ครูถอนหายใจ และนักจิตวิทยาขีดเส้นใต้ข้อความในแฟ้ม ฉันหยุดคิด ลาเต้ปัดปากกาตกพื้นด้วยความตั้งใจเท่าศูนย์
“จะช่วยหรือจะพังงานครับ?” ฉันถาม
เขาเลียไหล่ตัวเองเป็นคำตอบ
📖 “เด็กหญิงต้องใจสรุปว่า การตอบตามความคิดเห็นคนส่วนใหญ่ คือ ปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีวิตและการเอาตัวรอด การตอบตามความคิดเห็นของตัวเอง คือ ปัจจัยหนึ่งในการนอนตาหลับ”
บรรทัดนั้นค้างในลำคอฉันนานกว่าปกติ
เพราะมันไม่ใช่แค่เธอ
มันคือทุกครั้งที่ฉันพูดว่า “ครับ” เพื่อให้เรื่องจบ ทุกครั้งที่ฉันตอบว่า “ได้ครับ” ทั้งที่ยังไม่รู้จะทำยังไง ทุกครั้งที่ฉันยิ้มผ่านความเงียบ เพราะความเงียบจ่ายถูกกว่าการขัดแย้ง
ฉันเอนตัว พับนิ้วจนข้อนิ้วลั่น เสียงกระดูกดังเบา ๆ ในความนิ่ง ลาเต้หลับแล้ว เขาแทรกตัวระหว่างข้อศอกฉันกับขอบโต๊ะอย่างกับที่คั่นหนังสือในนิยายที่มันไม่เคยเคารพ ที่ข้างนอก ลมขยับนิดหน่อย ยังไม่พอจะพาฝนมา แค่พอให้รู้ว่า มันจะมาแน่
ฉันพิมพ์บรรทัดสุดท้าย
📖 “บ้านของฉัน ฉันว่าเป็นบ้านที่สวยดี แต่ถ้าคนอื่นมอง ก็คงเห็นเป็นบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ ซึ่งอาจเป็นเพราะ คนอื่นยังไม่รู้ว่า บ้านของฉันหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงไหน”
ฉันไม่ได้อธิบาย ไม่จำเป็น ฉันกดเซฟ ตั้งชื่อไฟล์ว่า: “ตามตาต้องใจ.doc”
ล็อกอินเข้าสู่ วารสารมองมารายเดือน ในนามปากกา: ตะวันหลงทาง แนบไฟล์
นิ้วค้างอยู่เหนือปุ่ม แล้วคลิกส่ง
ลาเต้ขยับตัวเล็กน้อย แต่ยังไม่ตื่น
“ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นชื่ออะไรจริง ๆ …แต่ต้องใจ ฟังดูเหมาะดี” ฉันกระซิบ
หน้าจอยังเปิดอยู่ แสงจากอินบอกซ์เรืองเรื่อในห้องมืด ข้างนอก ท้องฟ้ายังกลั้นหายใจ แต่ในนี้ มีบางอย่างพ่นลมหายใจออกมาแล้ว
Sponsored Ads
———————
เกือบสองหมื่น
พระอาทิตย์เลิกกะของมันแล้ว ลับขอบตึกไปเหมือนพนักงานออฟฟิศที่ไม่คิดจะอยู่ทำโอที ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะ พยายามทำความเข้าใจกับแผนคอร์ดที่ขีดมั่วครึ่งหน้า กับบิลค่าไฟที่ยังไม่ได้จ่าย แล้วโทรศัพท์ก็สั่น สองจังหวะยาว ๆ ตามด้วยริงโทนที่กลายเป็นรหัสลับสำหรับ “ข่าวด่วน” หรือ “ความวายป่วง” หรือทั้งคู่
พี่ต้น
ฉันกดรับ
“มึง! ขายได้เกือบสองหมื่นแล้วว่ะ!”
เสียงของเขาเหมือนพลุชุดใหญ่ชุดเดียว ดีใจ ปนไม่อยากเชื่อ ปนเบียร์เบา ๆ
ฉันกระพริบตา “…หมื่นอะไรนะ?”
“หมื่นแผ่น! เกือบสองหมื่นแผ่น! ‘คนไม่มีสิทธิ์’ กับ ‘กรุงเทพมหานคร’ กำลังไต่ชาร์ตอยู่ ค่ายโทรมาเองเลยนะโว้ย!”
มีเสียงซ่าแทรกเล็กน้อย เขาน่าจะกำลังเดินวนในลานจอดรถ สวมรองเท้าข้างเดียว มือถือเบียร์สิงห์
“ค่ายบอกให้เตรียมเพลงใหม่เลย จะได้ปล่อยตอนต้นปี เอาที่ให้ปังเหมือน ‘เหยียบดาว’ ไม่งั้นวงจะเงียบ คนลืม!”
ฉันเกาศีรษะ มองลงไปที่สมุดโน้ตตรงหน้า ตัวเลขตัวโตที่เขียนไว้ด้านบนจ้องกลับมา
20,000
มันดูปลอม ๆ ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนตัวเลขของใครอีกคน ไม่ใช่ของฉัน
ลาเต้ ที่นอนงีบอยู่ข้างปากกา เลือกจังหวะนั้นพอดี เขายืดตัวแล้วเอาอุ้งเท้าหนักแน่นตบลงกลางตัวเลข
หมึกเลอะ
แน่นอนสิ
ฉันถอนหายใจ “โอเค ถือว่าโชคดีที่เขายังไม่ฉี่ใส่โน้ตเพลงแล้วกัน…”
“เออ แล้วเจอกันเร็ว ๆ นี้นะ ค่ายอาจนัดประชุมอีกที มึงพร้อมหรือยังเนี่ย?”
“พร้อมในแบบของคนที่ยังเป็นหนี้ลุงเงินกู้,” ฉันตอบเสียงเรียบ “แต่ก็…โอเคอยู่”
“เก่งมาก กรณ์!” เขาว่า ราวกับเป็นคุณครูอนุบาล หรือคนเมาที่อินเกินไปกับชีวิตเพื่อน
แล้วสายก็ตัดไป
ฉันวางโทรศัพท์ลง
มองตัวเลข 20,000 ที่เลอะหมึกอีกที มันดูเบี้ยว ๆ แต่อย่างน้อย…ก็ยังอยู่ เหมือนฉันมั้ง แรงกดดันยังมาไม่ถึงเต็ม ๆ แต่คำถามเริ่มลอยอยู่ในอากาศแล้ว เหมือนความชื้นก่อนพายุ ฉันยังมีอีกเพลงอยู่ในตัวไหม? อีกหนึ่งเพลง อีกหนึ่ง เหยียบดาว เพลงที่เหมือนขุดขึ้นมาจากก้นบ่อ ตอนที่คิดว่าหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออีก
ฉันไม่รู้ แต่ฉันก็หยิบปากกาขึ้นมาอยู่ดี ลาเต้จ้อง หางสะบัดหนึ่งที เหมือนกำลังจะให้คะแนน
ฉันพลิกหน้ากระดาษ แล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง
Sponsored Ads
———————
ไม่ใช่แค่จัดจำหน่าย
ท้องฟ้านอกหน้าต่างกลายเป็นสีฟกช้ำ ม่วงคล้ำไหลปนเทา เหมือนกรุงเทพฯ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะตกฝนหรือแค่ทำหน้าบึ้งใส่ตัวเอง
ฉันเพิ่งกวาดขนแมวจำนวนหนึ่งที่น่าเคลือบแคลงออกจากพื้น ไม่แน่ใจว่ามาจากลาเต้ หรือวิญญาณของแมวตัวใหญ่เกินไปที่กำลังอาฆาตแค้นอยู่ในแฟลต สิ่งเดียวที่รู้คือ มันไม่เคยหลุดเยอะขนาดนี้มาก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนกลับมาใช้สูตรอาหารรสไก่
ตอนฉันล้างที่ตักขยะ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไม่ใช่เบอร์แปลกหน้า แต่เป็นเบอร์ที่มากับเอกสาร
ดุจดาว
ฉันรับสาย “ครับ?”
“ฉันจะไม่เสียเวลานานนะ” น้ำเสียงเฉียบคมตามเคย “ทางศักดินาฯ โทรมาหาฉันเมื่อบ่ายนี้”
ไม่มีบทนำ ไม่มีถามสารทุกข์ สุภาพแบบมืออาชีพในถุงมือผ้าไหม
“เขาอยากได้ลิขสิทธิ์กับ master… ทั้งหมด”
ฉันกระพริบตาหนึ่งที ไม่ได้พูดอะไร ไม่จำเป็นต้องพูด
“เพื่อความชัดเจน หมายถึงลิขสิทธิ์เพลง ความทรงจำสีจาง ทั้งหมดนะ” เธอพูดต่อ เหมือนฉันยังไม่ได้ยินให้ชัด
ฉันสูดลมหายใจ
“งั้นก็เหลือแค่ชื่อเพลงแล้วล่ะ ที่เป็นของฉันอยู่” ฉันพูดเสียงเรียบ
มีเสียงกระดาษขยับเบา ๆ ที่ปลายสาย อาจจะเป็นรอยยิ้ม หรืออาจแค่เธอกำลังจัดต่างหู
“ฉันไม่ยอมให้เขาเอาไปหมดหรอกนะ” น้ำเสียงเธอต่ำและหนักแน่น “ฉันอยู่ข้างเธอกับนีน่า”
สายเงียบ…คม…ไม่อ่อนข้อ
ฉันพยักหน้า ทั้งที่รู้ว่าเธอมองไม่เห็น “ขอบคุณครับ”
“ยังไม่ต้องทำอะไรตอนนี้” เธอพูดต่อ “แต่อย่าเซ็นอะไรถ้าฉันยังไม่ดูให้”
ติ๊ด… จบเกม เธอคงเดินหมากต่ออยู่ที่ไหนสักแห่ง
ฉันวางสาย เดินกลับไปที่โต๊ะ
ลาเต้เดินเฉียดแขนฉันไป เหมือนบรรณาธิการขนฟูที่อยากแสดงจุดยืน ปากกาตกลงพื้นโดยไม่มีคำขอโทษ ฉันก้มเก็บ ตั้งมันกลับที่
จากนั้นเปิดลิ้นชัก หยิบสมุดเล่มที่สามในกองออกมา ไม่ใช่สมุดเขียนเพลง ไม่ใช่สมุดบัญชี เป็นเล่มปกแข็งธรรมดา ที่ฉันเก็บไว้โดยไม่รู้ว่ารออะไร
ฉันมองหน้าจอคอมเก่าแสงยังจาง ๆ จากครั้งก่อน แล้วเหลือบไปทางคีย์บอร์ดไฟฟ้าที่วางข้างกัน กีตาร์มือสองพิงมุมห้อง วิทยุเสียงซ่าที่ยังไม่ยอมเงียบ เครื่องมือทั้งหมดของฉัน และวิญญาณเก่าทั้งหมดของฉัน
ฉันเปิดสมุด เลื่อนหน้าไปจนเจอหน้าว่าง แล้วเขียนคำหนึ่งลงไป
อำนาจ
Power.
ฉันยังไม่รู้พล็อต
ยังไม่มีตัวเอก
แต่ฉันรู้แล้ว ว่านี่เป็นเรื่องแบบไหน และรู้ด้วยว่า ตัวละครนำของมันจะไม่ใช่ค่ายเพลง
ลาเต้กระโดดขึ้นมาข้างสมุดยกอุ้งเท้าตบเบา ๆ หนึ่งทีบนหนากระดาษ แบบที่มีแต่แมวเท่านั้นจะตัดสินใจได้ว่านั่นคือการอนุมัติหรือคำขู่ จากนั้นเขาก็ทิ้งตัวลงเหมือนนักวิจารณ์ที่พูดโดยไม่พูดว่า ของมันต้องดีจริงนะ
ฉันมองเขา ฉันคิดในใจ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ ก็ได้
ตามตาต้องใจ (2545)
ปราบดา หยุ่น