051-เมื่อราคาย้อนกลับมา

สายโทรเข้ามาหลังมื้อกลางวันพอดี ในขณะที่ห้องยังเงียบ และเมืองข้างนอกเหมือนเพิ่งงีบกลางลมหายใจ ฉันรับสายตอนกลางเสียงกริ่งรอบที่สอง ไม่ใช่เพราะอยากรับ แค่…เคยชิน

Sponsored Ads

“กรณ์” เสียงดุจดาวชัดเจน แม้จะมีเสียงซ่ารบกวนจาง ๆ  “ข่าวดีนะ ทางศักดินายอมเพิ่มให้แล้ว — หนึ่งหมื่นหนึ่งพัน”

฿11,000 จาก ฿8,500 ฟังดูเหมือนความคืบหน้า และในเชิงเทคนิค มันก็ใช่

“ขอบคุณครับพี่” ฉันตอบอย่างสุภาพ ขณะที่นิ้วโป้งไล้ตามขอบที่ร้าวของที่รองแก้ว เหมือนกับเวลาคนลูบรอยแผลเป็น

“เงื่อนไขเดิมหมดเลยนะ ลิขสิทธิ์ก็ยังเป็นของเขาเหมือนเดิม” เธอพูดต่อ เสียงเบาลง

แน่นอนสิ ฉันพยักหน้ากับโทรศัพท์เหมือนเธอมองเห็น “เข้าใจครับ”

เราคุยกันอีกนิดหน่อย เธอเตือนให้ส่งใบแจ้งหนี้ ฉันขอบคุณเธออีกครั้ง เหมือนผีมารยาทดีที่ลืมตาย จากนั้นสายก็วางลงอย่างเรียบร้อย แต่ฉันยังไม่กดวาง แค่มองโทรศัพท์ในมือตัวเอง เหมือนมันอาจจะอธิบายอะไรได้

฿11,000 พอจ่ายค่างวดถัดไปให้ลุงเอ๋ พอซื้อทรายเต้าหู้แบบพรีเมียมให้ลาเต้ แบบที่จับตัวแล้วเป็นก้อนทันที ฉัน ควรจะ รู้สึกอะไรสักอย่าง—ความภูมิใจ, ความโล่ง แต่กลับรู้สึกแค่…เหมือนแค่การซื้อเสื้อเชิ้ตมือสอง ที่ใส่ได้ ใช้งานได้ แต่ไม่เคยเป็นของเราเองจริง ๆ

พัดลมตรงมุมห้องหมุนเบา ๆ แต่มีเสียงกริก ๆ ทุกครั้งที่ใบพัดผ่าน ข้างนอก มีนกตัวหนึ่งร้องทีเดียว แล้วเงียบ ลาเต้ขยับน้ำหนักจากเท้าหนึ่งไปอีกข้างโดยไม่ลืมตา หางสะบัดเหมือนได้ยินอะไรในฝันที่ไม่พอใจเล็กน้อย บนโต๊ะมีสัญญาถูกพิมพ์ออกมาวางอยู่
ใต้ที่ทับกระดาษสีเหลืองอ่อน เป็นตลับเทปเก่า ที่ฉันเคยเอากระดาษทองปลอม ๆ แปะไว้ ตอนที่ยังเชื่อว่าสัญลักษณ์ต้องมีประกาย

มันไม่ได้ผิดหรอก ศักดินาจ่ายเงินให้กับเพลง พวกเขามีสิทธิ์เต็มที่จะเป็นเจ้าของมัน
ฉันเป็นคนเซ็นเองด้วยซ้ำ ปัญหาไม่ได้อยู่ในเอกสาร มันอยู่ในช่วงหลังเอกสาร ในความว่างเปล่าที่ตามมา

หรือบางที ปัญหาอาจเป็นฉัน ที่ยังแสร้งว่ามีเส้นแบ่งระหว่าง “สร้างสรรค์” กับ “ขาย” ในเมื่อทั้งสองอย่างเกิดขึ้นบนโต๊ะเดียวกัน

ฉันลุกขึ้น เทน้ำใส่แก้วที่เคยล้าง แต่ไม่เคยสะอาดจริง อากาศในห้องมีรสของฝุ่น กับเศษความทะเยอทะยานที่ตกค้าง ลาเต้ลืมตาข้างเดียวตอนฉันกลับมานั่ง วางแก้วลงข้างจอ เขาไม่กระพริบ แค่มอง แบบที่แมวมอง เหมือนเขายกโทษให้บางอย่าง ที่ฉันยังไม่ทันทำผิด

ฉันหยิบสัญญาขึ้น พลิกกลับด้าน แล้ววางมันลงอีกครั้ง คว่ำหน้าคราวนี้รอยพับตรงบรรทัดเซ็นชื่อลึกขึ้นกว่าเดิม ชื่อของฉันดูเล็กลง เล็กกว่าที่จำได้

บางที วันหนึ่ง ฉันอาจจะเลิกขอให้พวกเขา “ให้ฉันเข้าไปข้างใน” แล้วหันมาสร้างอะไร บางอย่างไว้ ข้างนอกประตูนั้นเองแทน

แต่ตอนนี้ ฉันจะรับเงิน ส่งใบแจ้งหนี้ แล้วนับมันเป็นชัยชนะ ชัยชนะแบบเงียบ ๆ ที่รู้สึกไม่มั่นคงนัก เหมือนจ่ายหนี้ก้อนสุดท้าย ด้วยของชิ้นสุดท้ายในกระเป๋า แล้วเพิ่งรู้ทีหลัง…ว่าตัวเองยังหิวอยู่

Sponsored Ads

———————

สตูดิโอ

ห้องอัดเย็นพอให้เหงื่อของมนุษย์สงสัยตัวเองว่าเป็นอารมณ์หรือความร้อน แผ่นโฟมซับเสียงที่ผนังลอกเหมือนคนที่เบื่อจะยืนฝืนบนกำแพงของตัวเอง กาแฟซองถูกชงไว้แบบไม่ได้กวนน้ำตาล มันนั่งอยู่ข้างล่าง แกร่งและเงียบคล้ายความอดทน

พี่ต้นตะโกนท่อนฮุกอยู่หน้าห้องอัด สีหน้ามีความเหนื่อยของคนที่รักงานเกินพอดี และความสับสนของคนที่จำไม่ได้ว่ากินข้าวเที่ยงหรือยัง

“อ้าว กรณ์! มาทันคิวเลยมึง!”

ฉันพยักหน้าแบบคนที่ไม่แน่ใจว่าควรดีใจไหม แล้วปล่อยตัวลงที่มุมแอร์ลูบไหล่ได้ถ้าเราเชื่อในแอร์พอ ๆ กับที่แมวเชื่อในแรงโน้มถ่วง

ทั้งวงอยู่ครบ ฝ้ายวางคีย์บอร์ดแบบจะเล่นโยคะกับมัน บอลหมุนไม้กลองเหมือนเตรียมเล่นกลให้กรรมการตัดสินใจให้ชีวิตเขา เอกทำหน้าเหมือนเพิ่งทะเลาะกับสมการที่ไม่สมเหตุผล และแดงตั้งสายเหมือนทำสมาธิแบบมีสายสัญญาณพัวพัน

ตอนแรกฉันไม่พูดอะไร — แต่นั่นแหละคือความเปลี่ยนแปลง ฉันได้รับอนุญาตให้ ฟัง

เพลง “จนแต่เจ๋ง” มาถึงขั้นมิกซ์สุดท้ายแล้ว มันมีโครงสร้างของเพลงที่หายใจเองได้ เสียงพี่ต้นมีความแห้งแบบคนที่ยังเชื่อในแสงปลายอุโมงค์ แม้ไม่เคยไปถึง

แต่ตอนมันจบ มันจบ เรียบไป  แบบที่เพลงเกี่ยวกับการจ่ายค่าปรับกับความฝันขาดทุน ไม่ควรจะจบ

“ถ้าเราทุกคน…ตะโกนอะไรสักอย่างตอนท้ายดีมั้ย?”

คำพูดฉันออกมาเหมือนหลุดจากหมอกในหัว

พี่ต้นกระพริบตา “อย่าง?”

ฉันยิ้ม เหมือนคนที่เพิ่งรู้ว่ามีช่องลับในบ้านตัวเอง

“โว้!” ฉันพูด

และจากนั้น ทุกคนก็เหมือนนึกได้ว่ามีบางอย่างในร่างกายเขายังไม่ได้ถูกใช้ นั่นคือ เสียง

แล้วพี่ต้นก็หัวเราะ “โว้…อย่างกับตะโกนใส่กรรมเก่าอ่ะนะ”

บอลหัวเราะ “ให้มันรู้ว่าคนไม่มีตังค์ก็มีเสียงว่ะ!”

และเราก็ทำตาม — ตะโกนกันเหมือนโลกจะไม่ได้ให้เวทีเรา แต่เราขโมยไมค์มาแล้ว และจะไม่ขอโทษ

“โว้!”

เสียงนั้นไม่ได้ขออนุญาต ไม่ได้เรียกรางวัล มันแค่ยืนยันว่า เรายังอยู่ตรงนี้

ตอน playback เล่นจบ พี่ต้นพยักหน้าเบา ๆ ฉันพยักหน้ากลับ และเป็นครั้งแรกในสัปดาห์นี้ที่ฉันไม่รู้สึกเหมือน นักเช่าอารมณ์ ในบ้านของคนอื่น

มันเหมือนฉันได้ครอบครองหนึ่งท่อนของเพลงนี้ อย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องขอ

Sponsored Ads

———————

เพียงแค่มุก

มันคือช่วงพักเบรกที่ไม่มีใครบอกว่าเป็นเบรก แต่ทุกคนหายใจต่างกันนิดหน่อย เหมือนตัวห้องอนุญาตให้เราวางของหนัก ๆ ลงโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

เอกนั่งจดอะไรบางอย่างด้วยปากกาที่ขโมยมาจากโรงแรมแพงที่ไม่มีใครในห้องเคยเข้าไปนอกจากนั่งรถเมล์ผ่าน บอลวางเท้าพาดแอมป์ร้าว ๆ เคาะจังหวะแบบที่ดูเหมือนผิด…แต่ถ้าตั้งใจผิด มันก็คือความถูกที่เลือกเอง ฝ้ายกำลังพิมพ์อะไรใส่โทรศัพท์ รอยยิ้มของคนที่ถึงจะแพ้ แต่ยังมีมุกเด็ดซ่อนไว้ในกระเป๋าหลัง

กาแฟแก้วสุดท้ายในห้องโดนยัดใส่มือฉันโดยพี่ต้น กลิ่นมันคือคาเฟอีนกับความพยายามระดับบัดเจ็ท
“ดื่มก่อนหมดวันนะเว้ย” เขาว่า แบบคนที่เคยเห็นฉันลืมกิน ลืมหายใจ และลืมว่าเพลงไม่ควรฆ่าคนทำมัน

ฉันนั่งลงแบบที่เก้าอี้ก็ไม่เห็นด้วยนัก กลิ่นในห้องผสมกันระหว่างฝุ่น เสียงเบส และคำว่า “แก้ตรงไหนอีกดีวะ” ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไป แต่คำมันก็หลุดออกมา เหมือนลมหายใจที่เผลอหลุดตอนฝัน

“รู้มั้ย… มันก็คงดีนะ ถ้าสักวันเราจะไม่ต้องให้ทุกอย่างเขาไปหมด”

เสียงคำว่า “ให้ทุกอย่างเขาไปหมด” ลอยอยู่ในอากาศเหมือนกลิ่นเครื่องปรุงหมดอายุ

พี่ต้นเลิกคิ้วขึ้น โดยไม่เงยหน้า “ให้ไร?”

“เพลงของเรา สิทธิ์ของเรา ของที่เราสร้าง” ฉันว่า “เรายื่นให้เขา รับเช็ค แล้วก็ยิ้ม เหมือนเป็นโชคดีอะไรสักอย่าง”

มันไม่ได้โกรธ มันก็แค่…เศร้าแบบเข้าใจได้ง่าย

พี่ต้นหัวเราะในลำคอแบบคนที่ไม่ได้ไม่เข้าใจ “มึงจะเปิด 7-Twelve ฉบับคนทำเพลงเองรึไง?”

ทุกคนขำ — ขำแบบไม่ต้องแปล มันเป็นภาพที่เห็นได้ชัด: ร้านกาแฟปนสตูดิโอปนร้านขายซีดีที่ไม่มีใครซื้อ ขำกันไปจนถึงขอบเสียง แล้วก็เงียบลง เหมือนไม้ขีดหมดไฟ แต่กลิ่นควันยังอยู่

หนึ่งวินาที หนึ่งลมหายใจ

เอกหยุดเขียน บอลหยุดเคาะเท้า ฝ้ายวางโทรศัพท์ลงเงียบ ๆ และในช่วงเวลาเงียบ ๆ ตรงนั้น ฉันรู้ว่าความคิดมันเริ่มขึ้น

มันไม่ใช่แผนธุรกิจ มันไม่ใช่กองทุน มันคือไอเดีย แบบเดียวกับตอนที่เพลงเริ่มจากแค่คอร์ดเดียว

ฉันไม่ได้พูดมันออกมา ฉันจิบกาแฟแทน รสชาติเหมือนคนที่ยอมให้ฟันชาแทนจะเลิกกินขม

“รีเวิร์บตรงฮุกท้ายเยอะไปหน่อย” ฉันว่า ชี้ไปที่โน้ต

พี่ต้นพยักหน้า “เออ เดี๋ยวลองลดดู”

เสียงเพลงเริ่มใหม่ แต่ ไอเดียนั้น เจ้าความคิดตลก ๆ ที่เราหัวเราะใส่มัน  มันไม่หัวเราะกลับ มันแค่นั่งอยู่เงียบ ๆ เหมือนลาเต้ที่ดูเหมือนหลับแต่จริง ๆ กำลังฟัง

Sponsored Ads

———————

ทากน้อยจึงทาเงิน เป็นเงางามวะวามไว้

ห้องยังอุ่นจากแดดบ่ายตอนฉันกลับถึงบ้าน ไม่ใช่อุ่นแบบสบาย แต่แบบที่ซึมเข้าผนังเหมือนคนขี้อายที่ไม่ยอมออกไปไหน ฉันไม่เปิดไฟ มันดูสว่างเกินไปสำหรับชั่วโมงที่ควรเก็บไว้ให้คนขยัน

ลาเต้อยู่บนโต๊ะแล้ว เรียบร้อยแบบที่บอกว่าเขาอยู่ตรงนั้นมานานกว่าเหตุผล เขาขดตัวเหมือนวงกลมที่เขียนขึ้นด้วยมือซ้าย ไม่สมบูรณ์แบบ แต่จงใจ

พัดลมยังหมุนช้า ๆ ตั้งแต่เมื่อเช้า ให้เสียงมากกว่าลม ฉันถอดรองเท้า วางกระเป๋าแบบโยน  แบบที่คนวางแผนจะไม่แตะมันอีกสักพัก

ไม่ได้เหนื่อยหรอก แค่…เต็ม เต็มจนจะล้นออกทางนิ้วทางหู แต่ก็ไม่อยากปล่อย

ฉันเปิดคอมเก่า เสียงบูตของมันฟังเหมือนกล่องดนตรีที่ถูกฝังในชั้นดินบาง ๆ แล้วเพิ่งขุดขึ้นมา จอกระพริบ CPU ครางเบา ๆ — ลาเต้ยื่นอุ้งเท้ามาวางบนแผ่นรองเมาส์ เหมือนเตือนว่า “อย่าพยายามมากกว่าที่จำเป็น”

ฉันเสียบโมเด็มบัตรเติมเงินที่เหลือรอยปลายนิ้วมันเข้าไป เสียง dial-up ดังขึ้นทันที อมตะ รุนแรง เหมือนฟันฝังรากกำลังต่อสู้กับหมอฟันที่ไร้ความเมตตา แล้วมันก็เชื่อมต่อ
56.6 kbps — ไม่เร็วพอสำหรับโลก แต่เร็วพอสำหรับความหวัง

ฉันล็อกอินเข้าเว็บบอร์ด ชื่อผู้ใช้: กวีในเงามืด มันเคยเป็นหน้ากาก ตอนนี้มันคือความสบาย

ช่องโพสต์รออยู่ เคอร์เซอร์กระพริบอย่างไม่มีอารมณ์ ฉันแปะบทกวีลงไป ไม่ใส่หัวเรื่อง ไม่แนบคำอธิบาย ไม่มี emoji ไม่มีอารมณ์การตลาด

📖 “ในหญ้ารกนั้นมีทาง
เปลี่ยวอ้างว้างไร้คนเดิน
ทากน้อยจึงทาเงิน
เป็นเงางามวะวามไว้

รอว่าสักวันหนึ่ง
ซึ่งตะวันอันอำไพ
จะเกรี้ยวกราดและฟาดไฟ
ประลัยหญ้าลงย่อยยับ

เมื่อนั้นแหละเงินงาม
รวีวามจะตามจับ
เพชรผกายจะฉายวับ
ขับเงินยวงแห่งช่วงทาง

และทากน้อยจะถมเนื้อ
เพื่อภาวะแห่งผู้สร้าง
ระเหิดหายละลายร้าง
อย่างเคยเคยทุกคราวครั้ง

ทางนั้นจึ่งปรากฏ
ทอดไปจรดที่ใจหวัง
ตราบใดที่หญ้ายัง
ก็บังใจที่ไขว่คว้า

การเกิดต้องเจ็บปวด
ต้องร้าวรวดและทรมา
ในสายฝนมีสายฟ้า
ในผาทึบมีถ้ำทอง

มาเถิดมาทุกข์ยาก
มาบั่นบากกับเพื่อนพ้อง
อย่าหวังเลยรังรอง
จะเรืองไรในชีพนี้

ก้าวแรกที่เราย่าง
จะสร้างทางในทุกที่
ป่าเถื่อนในปฐพี
ยังมีไว้รอให้เดินฯ”

ไม่รู้ว่าเขียนให้ใคร อาจจะเป็นตัวฉันที่คิดจะเลิก หรือ นีน่า ที่อาจจะลืมว่าตัวเองเคยฝันหรือคนแปลกหน้า ที่แค่อยากให้ใครสักคนเขียนอะไรแทนความเหนื่อยของเขาสักบรรทัด

ฉันไม่พรีวิว ไม่อ่านทวน แค่กด “โพสต์” หน้าจอโหลดใหม่ บทกวีอยู่ตรงนั้น ไม่มีหัวใจ ไม่มีคอมเมนต์ มีแค่เวลา และช่องว่างถัดไป

ลาเต้ดันหัวกับแขนฉัน เหมือนจะบอกว่า พอได้ ไม่ใช่คำชม ไม่ใช่ความรัก แค่…อนุญาต

นอกหน้าต่าง เมืองกำลังหายใจช้า ๆ วิทยุจากห้องข้าง ๆ เล่นเพลงลูกทุ่งแบบที่ไม่มีใครอยากฟัง แต่ไม่มีใครอยากปิด เสียงพัดลมเปลี่ยนจังหวะหนึ่งครั้ง เหมือนเปลี่ยนใจในตอนท้ายเรื่อง

ฉันนั่งฟัง ไม่ได้ฟังเมือง แต่ฟังช่องว่างระหว่างเสียง

“เอาแค่ได้เขียน… ก็พอแล้วมั้งคืนนี้” ฉันพูดเบาๆ

ลาเต้ไม่ตอบ เขาไม่เคยตอบ ตอนที่ฉันพูดเรื่องที่จริงที่สุด

ฉันลุกขึ้น ปิดโคมไฟ ปล่อยให้หน้าจอหรี่ลง บทกวีลอยอยู่ตรงนั้น ในเงา ไม่มีแบ็คอัพ ไม่มีลิงก์ ไม่มีใครจำได้ว่าวันนี้มีใครเขียนอะไร

แต่ในความมืด ฉันยังได้ยินมัน เบา ๆ

เสียงของทาก ที่ทาเงินไว้บนหญ้า เพื่อรอเช้าใหม่ที่ยังไม่มา

Sponsored Ads

หนทางแห่งหอยทาก (2516)
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์