You have no alerts.
    Header Background Image
    นิยายแปล แบ่งปัน สนุกขำขัน ได้ที่นี่ WhatANovel.com
    Chapter Index

    เสียงโมเด็มดังก้องไปทั่วห้องเหมือนยุงที่มีโทรโข่ง

    ลาเต้ซึ่งกำลังหลับตาพริ้มข้างปลั๊กไฟสะดุ้งเฮือก หันมามองเหมือนเพิ่งรู้ว่าโดนหักหลัง ก่อนจะพุ่งหลบเข้าข้างใต้โต๊ะทันที โมเด็มส่งเสียงกรีดร้องหนึ่งรอบ แล้วบ่นงึมงำ ก่อนจะต่อสายติดกับเครือข่ายที่น่าจะพาดผ่านนาข้าวสิบแปลงและเสาโทรศัพท์ที่ตายไปแล้วสามต้น

    Sponsored Ads

    เวลา 7:18 น. แสงนอกบ้านจางเหมือนภาพที่ซักแล้วสีตก แบบที่ทำให้รู้สึกว่าอะไรบางอย่างเพิ่งจบลง อย่างเงียบ ๆ และอาจจะถาวร แต่ไม่เหลือหลักฐานอะไรให้จับต้องได้

    ฉันเปิดบราวเซอร์ 

    หน้าเว็บของ เสียงระหว่างซอย ยังดูเหมือนเดิมเหมือนมันถูกสร้างขึ้นตอนที่ `<table>` ยังเป็นโครงสร้างแห่งศรัทธา 

    ไม่มีล็อกอิน 

    ไม่มีหน้าผู้เขียน 

    ไม่มีระบบตรวจสอบ 

    มีแค่แบบฟอร์มส่งต้นฉบับ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนยื่นกระดาษใส่ตู้ไปรษณีย์เก่า แล้วหวังว่าจะมีคนอ่านลายมือ

    หัวข้อเรื่อง: วันที่ครอบครัวกลับบ้าน

    ผู้เขียน: ตะวันหลงทาง*

    ไฟล์แนบ: `family-returns-0416.doc`

    ไม่มีอะไรในนั้นที่อธิบายว่า มันเขียนเกี่ยวกับหญิงชราที่ครอบครัวกลับมาเยี่ยมหนึ่งวัน แล้วทิ้งไว้แค่เปลือกส้มกับความเงียบ ไม่มีคำอธิบายว่ามันอิงจากแม่ หรือบ้านหลังนี้ หรือฉัน ที่พยายามทำเหมือนไม่เกี่ยวกับทั้งสามอย่าง

    ลาเต้กระโดดขึ้นโต๊ะแล้วนั่งพิงเมาส์ไว้พอดี เขาหันหน้ามา กระพริบตาครั้งหนึ่ง แล้วเลียอุ้งเท้าอย่างใจเย็น ฉันตีความว่านั่นคือการอนุมัติแบบไม่ลงชื่อ

    เคอร์เซอร์ค้างอยู่บนปุ่ม “ส่ง” 

    ฉันนิ่ง เหมือนเดิม ก่อนจะกด

    หน้าจอไม่กระพริบ ไม่มีแอนิเมชัน ไม่มีอีเมลยืนยัน

    มีแค่ข้อความเล็ก ๆ สีเทา 

    ต้นฉบับของคุณได้ถูกส่งเรียบร้อยแล้ว

    เหมือนเสียงสะท้อนที่ตอบกลับมา 

    แผ่ว แต่พอจะฟังออก

    ฉันกำลังจะปิดบราวเซอร์ แต่สัญชาตญาณทำให้เปิดกล่องเข้าอีเมลแทน

    หนึ่งข้อความใหม่ปรากฏขึ้นทันที

    Subject: “แจ้งกำหนดการโอนค่าลิขสิทธิ์เพลง ‘เจ้าหญิง’ จากพึ่งใจมิวสิค”

    ไม่ใช่จากพี่ต้น ไม่ใช่จากไอรี แต่จากใครบางคนชื่อ คุณพราว ลงท้ายว่า “ฝ่ายบัญชี / พึ่งใจมิวสิค” ไม่มีอีโมจิ ไม่มีคำชม ไม่มี “ยินดีกับเพลงนะคะ” 

    แล้วก็ข้อความตามมาตรฐาน

    “เพลง ‘เจ้าหญิง’ และ ‘เจ้ากระต่ายน้อย (Tale of the bunny)’ ที่คุณมีส่วนในการแต่งเนื้อร้องและทำนอง จะถูกรวมในรอบบัญชีประจำเดือนเมษายน 2544
    ทางบริษัทจะดำเนินการโอนค่าลิขสิทธิ์ภายในวันที่ 30 เม.ย.
    กรุณายืนยันเลขบัญชีภายในวันที่ 22 เม.ย.”

    เท่านั้นเอง

    ไม่มีใครเรียกฉันว่าอัจฉริยะ ไม่มีใครกล่าวหาว่าขโมย ไม่มีใครเขียนว่า “เพลงนี้เปลี่ยนวงการ”

    มีแค่ฉันในระบบคนหนึ่ง เหมือนคนอื่น ๆ 

    ผู้รับ: ฝ่ายบัญชี / พึ่งใจมิวสิค

    ผู้ส่ง: ธนากร สิริพงษ์ชัย

    ไฟล์แนบ: `account-info.doc`

    ข้อความ: “เรียนฝ่ายบัญชี ขอยืนยันเลขบัญชีสำหรับการโอนค่าลิขสิทธิ์เพลง ‘เจ้าหญิง’ และ ‘เจ้ากระต่ายน้อย (Tale of the bunny)’
    ชื่อบัญชี: ธนากร สิริพงษ์ชัย ธนาคาร: Bank of New Siam สาขาสุขุมวิท 77
    เลขที่บัญชี: XXX-X-XX999-X 
    ขอบคุณครับ” 

    ฉันกำลังจะกด Send 

    แต่รู้สึกเหมือนมีสายตาจ้องอยู่  ฉันหันไปข้างเมาส์ ลาเต้นั่งอยู่บนพอร์ต USB ขาหน้าทับกระดาษโน้ตบิลค้างจ่ายแบบพอดีเป๊ะ เขาจ้องจอด้วยสีหน้าแบบ ส่งไปก็ได้ แต่ถ้ารับเงินแล้วอย่าลืมซื้อปลาทู

    ฉันกด Send เสียง click เบา ๆ ดังขึ้น 

    พอดีกับที่หางเขาแกว่งตัดสายเมาส์หนึ่งที เหมือนเป็นการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากระบบแมว

    “ตั้งแต่วันนี้นายคือฝ่ายบัญชีฉันแล้วนะ” ฉันพูดกับเขา

    ลาเต้ยกอุ้งเท้าข้างหนึ่งมาเลียเบา ๆ แบบไม่สนใจโลก ฉันถือว่านั่นคือ รับทราบ

    ลมตะวันออกพัดม่านบาง ๆ ตรงหน้าต่างไหว พากลิ่นหญ้าเปียก น้ำมันดีเซล และเช้าที่เงียบผิดปกติเข้ามา

    ฉันปิดโน๊ตบุ๊ค ปล่อยให้หน้าจอดับลง แล้วเดินออกไปตรงมะม่วงหน้าบ้าน  ตรงที่แสงแดดกระทบพื้นพอดี  เหมือนคำขอโทษจากวันก่อน

    เสียง “ติ๊ก” เบา ๆ ดังมาจากข้างหลัง โมเด็มตัดการเชื่อมต่อ เหมือนมันพอแล้วเหมือนกัน

    Sponsored Ads

    ———————

    การทูตในเงามะม่วง

    ต้นมะม่วงต้นนี้รู้ความลับมากกว่ากล่องจดหมายทั้งบ้านรวมกัน

    แป้งนั่งอยู่บนม้านั่งไม้เตี้ยข้างหลังบ้าน ขาแกว่งเบา ๆ แบบคนที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองโตพอจะปฏิวัติโลก หรือยังเป็นเด็กอยู่  จานข้าวเหนียวหมูย่างวางอยู่ตรงกลาง ระหว่างเราสองคน แต่แทบไม่ได้แตะ เธอกำลังวาดอะไรบางอย่างลงในสมุด ฉันแยกไม่ออกว่าเป็นแมว หรือแผนยุทธศาสตร์

    “ว่าแต่…” ฉันเริ่ม พลางพยายามไม่ทำเสียงเหมือนจะพังโลกเธอ 

    “ตอนนี้อยู่ ม. อะไร หรือว่าเลิกเรียนไปเป็นนักปรัชญาหลังบ้านแล้ว?”

    “จบ ม.6 แล้ว” เธอตอบโดยไม่เงยหน้า 

    “สอบเอนท์เสร็จแล้ว ผลเพิ่งออกอาทิตย์ที่แล้ว”

    ถึงว่า ออร่าความมั่นใจมันพุ่ง แบบที่มีเฉพาะคนที่รอดชีวิตจากข้อสอบแล้วยังเหลือจิตวิญญาณอยู่ครบ

    “แล้วไงต่อ?”

    เธอเงยหน้าขึ้นในที่สุด “ติด มหาวิทยาลัยล้านนาอารยะศาสตร์” 

    ยิ้มของเธอมั่นใจ แต่เป็นมั่นใจที่สมควรได้รับ

    “ฟังดูเหมือนชื่อของลัทธิที่เพราะเกินไปนะ”

    เธอปามะม่วงเปลือกหนึ่งใส่ฉัน

    “จริง ๆ” เธอว่า “อยู่เชียงใหม่ คณะประวัติศาสตร์วัฒนธรรมกับการเล่าเรื่องทางสังคม”

    “นั่นมันชื่อวิทยานิพนธ์ ไม่ใช่ชื่อคณะนะ”

    “เอกภาพยนตร์กับการเล่าเรื่องเชิงสังคม” เธอพูดแบบไม่เห็นเป็นเรื่องยาก 

    “ภาพยนตร์และเรื่องเล่าเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เปิดรับแค่ที่นี่ที่เดียว ฉันได้ที่นั่น”

    ฉันกระพริบตา “งั้นเธอจะไปกู้โลก… ด้วยหนัง?”

    เธอไม่ตอบ 

    แค่ยิ้มแบบที่ทำให้ฉันรู้ว่า เธอเป็นน้องฉันจริง ๆ

    “แล้วเรียนกี่ปี?”

    “สี่ปี ถ้าไม่โดนไล่เพราะทำอาจารย์ร้องไห้ก่อน”

    “แล้วจบไปจะเป็นอะไร นักปฏิวัติวรรณกรรมเหรอ?”

    “ก็อาจจะ” เธอยักไหล่ “หรือไม่ก็ทำหนังสารคดีเรื่องคนที่ไม่มีใครขอให้แต่งเพลง”

    ประโยคนั้นมันกระแทกอยู่เงียบ ๆ

    “แม่โอเคเหรอ?”

    “แม่บอกให้เก็บกระเป๋าเลย บอกว่านี่คือครั้งแรกในบ้านเราที่มีคนได้เรียนเล่าเรื่องโดยไม่ต้องอดตาย”

    “เจ็บนะนั่น”

    “คำพูดแม่ ไม่ใช่ของฉัน”

    ฉันเอนหลัง มองลอดใบมะม่วงขึ้นไป

    “แล้วปฏิวัติวัฒนธรรมของเธอเริ่มเมื่อไหร่?”

    “รับน้องมิถุนายน ย้ายไปพฤษภา”

    เร็วกว่าที่คิด คำนั้นลอยอยู่กลางอากาศเหมือนผ้าซักที่ยังไม่แห้ง

    เธอพลิกหน้าสมุด “แล้วพี่ล่ะ กลับกรุงเทพฯ ตอนไหน?”

    “พรุ่งนี้มั้ง” ฉันตอบ 

    “หลังจากไหว้ครบทุกวัดในรัศมีสิบกิโล”

    เธอเหลือบตามองมานิดนึง แล้วพูดเบา ๆ ว่า 

    “ปีหน้าอย่ากลับมาทั้งตัวกับข้าวของนะ ฝากหัวใจไว้บ้าง”

    มันไม่ได้เจ็บ แต่มันก็ไม่ลอยผ่านไปเฉย ๆ

    ลาเต้เดินอาด ๆ เข้ามาในร่ม มองจาน มองฉัน มองแป้ง แล้วนอนแผ่หลาผึ่งแดดแบบประกาศว่าบทสนทนานี้ไม่คู่ควรกับเวลาเขา

    แป้งหันไปมองเขา แล้วกลับมามองฉัน 

    “พี่ก็เหมือนแมวอ่ะ ทำท่าเฉย ๆ แต่จริง ๆ ใจไปไกลแล้ว”

    “พูดงี้ไม่แฟร์เลย” ฉันว่า “ลาเต้อย่างน้อยยังจ่ายค่าเช่าด้วยสายตา… ฉันนี่ยืมข้าวเขากินอย่างเดียว”

    เธอหัวเราะ  สั้น ๆ แต่จริง

    หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฉันพูดขึ้นว่า 

    “นี่ ถ้าวันนึงเธอทำหนังสารคดี แล้วอยากได้เพลงประกอบ… ให้ฉันแต่งให้ได้ไหม?”

    เธอไม่ตอบทันที แค่ขีดอะไรบางอย่างในสมุด แล้วพูดแบบไม่เงยหน้า 

    “แค่ไม่แต่งให้คนร้องไห้ก็พอ”

    “ตกลง” ฉันว่า “ไม่มีน้ำตา อาจจะแค่รู้สึกอึน ๆ พอประมาณ”

    “คนดูหรือพี่?”

    “ต่างกันตรงไหน ผลลัพธ์ก็คล้ายกัน”

    เรานั่งเงียบกันอีกครั้ง แบบเงียบที่เกิดได้เฉพาะตอนที่เสียงดังมันจบไปหมดแล้ว เงียบแบบที่ไม่มีใครอยากพูด ถ้าไม่ตั้งใจจะพูดจริง ๆ

    ฉันลุกขึ้น ปัดฝุ่นในจินตนาการออกจากกางเกง

    “ถ้าเชียงใหม่มีเครื่องย้ายตัวเมื่อไหร่ บอกด้วยนะ” ฉันว่า “จะไปเยี่ยม”

    “เก็บเงินซื้อปลาทูให้ลาเต้ก่อน” เธอพูด โดยไม่มองขึ้นมา

    แฟร์ดี

    Sponsored Ads

    ———————

    รับรองโดยแมว

    ส่งเรียบร้อย ด้วยความช่วยเหลือจากแมว

    ฉันไม่ได้พิมพ์อะไรอีกเลย ไม่มีตอบกลับจากค่าย ไม่มีอีเมลยืนยัน ไม่แม้แต่ข้อความเด้งผิด โมเด็มถูกตัดการเชื่อมต่อไปหลายชั่วโมงแล้ว และด้วยเหตุผลบางอย่าง ความเงียบจึงดูเป็นทางการ

    ลาเต้ แน่นอน ไม่มีความรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น

    ตอนนี้เขานอนขดอยู่ที่ขอบโต๊ะ หางห้อยลงมาเหมือนเครื่องหมายจุลภาคที่มีความเห็น ตรงหน้าเขา มีซองน้ำตาลจาง ๆ เขียนว่า “สำรองจ่าย” วางอยู่ถัดจากตั๋วรถไฟเก่า กับปากกาที่น่าจะหมดหมึกตั้งแต่สมัยที่คลินตันยังเป็นประธานาธิบดี

    ฉันมองซองนั้น แล้วก็มองเขา

    “ยังไม่ตัดสินใจว่าจะให้เท่าไหร่เลยนะ” ฉันบอกเขา

    เขาไม่ขยับ มีแค่เหยียดขาหน้าออกมาแตะซองเบา ๆ เหมือนประทับตราราชวงศ์

    “เออ ๆ รู้แล้ว แม่ห้าพัน แป้งหมื่นหนึ่ง”

    ตัวเลขฟังดูโอเคนะ ถ้าไม่นับว่าฉันยังไม่ได้รับเงินอะไรจริง ๆ เลย

    ฉันขยี้ตา ห้องยังมีกลิ่นไม้เปียกกับพื้นปูนเย็น ๆ ข้างนอกมีไก่ขันอีกแล้ว เหมือนมีงานประจำแต่ไม่เคยรู้กะ

    การให้เงินที่ยังไม่มี มันไม่ใช่หลักการการเงินที่น่าแนะนำ แต่หลังจากที่แป้งบอกว่าจะย้ายไปเชียงใหม่ในเดือนพฤษภา ฉันไม่อยากเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ใครต้องช้ากว่าเดิมอีกแล้ว

    ลาเต้ลุกขึ้น หมุนตัวรอบเดียว แล้วนอนทับซองนั้นแบบเต็มพื้นที่

    “ก็ไม่เชื่อดวงนะ แต่ถ้าแมวหนักเกินหกกิโลเลือกจะนอนทับซองไหน ฉันก็ฟังอยู่ ฉันพึมพำกับตัวเอง

    บางอย่างในใจมันเหมือนตัดสินใจไปแล้ว 

    พรุ่งฉันจะเข้าอำเภอ ถอนเงินสด ขอใบรับรองหมอให้แมว อาจจะแวะซื้อตั๋วรถไฟกลับกรุงเทพ

    ฉันไม่รู้ว่าที่นั่นมีอะไรรออยู่ แต่รู้ว่าส่วนนี้ของเรื่อง… กำลังจะจบลง และศาสดาตัวกลม ๆ หนึ่งตัว ก็กำลังอุ่นซอง “คำพยากรณ์” ซองนั้นอยู่แล้ว

    Sponsored Ads

    ———————

    การส่งต่อที่เงียบงัน

    จริง ๆ แล้ว ฉันตั้งใจจะถอนเงินสด ตอนพาลาเต้ไปขอใบรับรองหมอแมวพรุ่งนี้ แต่พอแม่พูดเรื่อง “ยังไม่ได้ให้เงินค่าทำบุญกับหลวงพ่อ”

    ฉันเลยขี่มอเตอร์ไซค์ของพี่วัฒน์มาอำเภอก่อนแบบงง ๆ ที่อำเภอข้างในยังปิดอยู่ มีแค่ตู้ ATM ที่หน้าร้อนเหมือนอบซาลาเปา

    ตู้ ATM ในตัวอำเภอยังส่งเสียงเหมือนต้องต่อสายไปยมโลกก่อนจ่ายเงิน ฉันกดจำนวน ฿15,000 ดูมันครุ่นคิดเหมือนกำลังไต่สวนคุณธรรมส่วนตัวฉัน แล้วค่อย ๆ ปล่อยเงินออกมาด้วยท่าทีเหมือนกำลังตำหนิทรงผมฉันอยู่ในใจ

    “ค่าธรรมเนียมถอนเงินต่างเขต: ฿25” 

    แน่นอนสิ รับไปเถอะ ทวยเทพแห่งระบบราชการ

    ใบเสร็จพิมพ์ออกมางอ ๆ เหมือนลิ้นกระดาษ ฉันหยิบโดยไม่มอง แถมเงินที่ออกมาร้อนนิด ๆ เหมือนรู้ว่าเดี๋ยวจะเปลี่ยนมือเร็ว

    พอถึงบ้าน แดดคลุมหลังต้นมะม่วงไว้พอดี ไม่ใช่แสงทองหรอก มันคือ แสงของการให้อภัย ประเภทที่ยอมให้เสื้อตากพลาด กับการตัดสินใจที่ควรคิดใหม่

    ฉันเดินเข้าครัวเงียบ ๆ

    แม่กำลังซอยมะละกอเหมือนเคยมีเรื่องบาดหมางกับมัน 

    แป้งกำลังพับผ้าห่มสี่ทบ ไม่สำเร็จแม้แต่การพับเป็นสามทบ

    ฉันวางซองสองใบลงบนโต๊ะอาหาร ไม่มีชื่อ ไม่มีคำอธิบาย แค่ “น้ำหนัก” ที่ชัดเจนพอ

    “อันนี้ของแม่ฉันว่า พร้อมเคาะซองแรก 

    “อันนี้ของแป้ง”

    ไม่มีใครขยับ แต่ก็ไม่มีใครแกล้งทำเป็นไม่เห็น

    แป้งมองซอง ไม่เปิด 

    แม่เลิกคิ้วนิดหน่อย “เอาไว้ใช้เองบ้างก็ดีเน่อ”

    “ไม่ต้องห่วง ฉันตอบ “ยังมีพอ… สำหรับตั๋วกลับ กับอาหารแมว”

    ลาเต้เดินเข้ามาพอดี เหมือนโดนเรียกด้วยพลังคำว่า อาหารแมว เขาดมขาโต๊ะ นั่งลงเหมือนขุนนางรอรับรายงาน  แล้วกระพริบตาช้า ๆ ไปทางซองสองใบนั้น เหมือนอนุมัติโดยไม่ต้องเซ็น

    เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก

    ตอนเย็น ฉันหยิบชาเขียวปลอม ๆ จากร้านข้างทาง ออกไปนั่งที่ขั้นบันไดหลังบ้าน

    ลาเต้เดินตามมาด้วย นอนแผ่ราบเหมือนพรมเปอร์เซียรุ่นดึก ขาหน้าพับเข้า ตัวไม่ขยับ ตาไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้มองอะไรเป็นพิเศษ

    อีกสักพัก น้ำแข็งใสก็เดินเข้ามา ด้วยท่วงท่าของเจ้าของสิทธิ์อากาศทั้งหมดในบ้าน เธอเดินขึ้นโต๊ะดมเพียงครั้งเดียว แล้วนั่งลงตรงจุดที่ซองเคยวางเป๊ะ

    ไม่มีใครบอก แต่เธอรู้ดีว่านั่นคือที่ที่พิธีเพิ่งเกิดขึ้น

    ลาเต้สะบัดหางหนึ่งที  แต่ไม่ลุก ไม่ขยับ เป็นการเจรจาสงบแบบไร้เสียง

    ฉันมองแมวสองตัว 

    หนึ่งตัวแมวเมือง หนึ่งตัวแมวท้องถิ่น 

    หนึ่งตัวแมวศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งตัวแมวราชินีประจำบ้าน

    แล้วคิดในใจว่า “บางทีการให้อะไรบางอย่าง อาจคือการยอมรับว่าเราก็เคยหายไปนานเกินไป”

    ไม่มีคำขอบคุณ  ไม่มีดนตรีบรรเลงลา  ไม่มีคำพูดซึ้ง ๆ เกี่ยวกับ “เส้นทางที่ผ่านมาว่าฉันจะมาได้ไกลแค่ไหน”

    มีแค่แมวสองตัว ซองสองใบที่อุ่นขึ้นนิดหน่อยจากสัมผัส กับท้องฟ้าที่สุดท้ายแล้ว ไม่ได้เร่งอะไรอีก

    พรุ่งนี้ฉันจะพาลาเต้ไปตรวจสุขภาพ

    แต่คืนนี้ ฉันปล่อยให้ความเงียบ เป็นคนเขียนบทสรุปให้วันแทน

    Sponsored Ads

    0 Comments

    Heads up! Your comment will be invisible to other guests and subscribers (except for replies), including you after a grace period.

    Note