090-ก่อกองทรายในไฟล์
by S.J. Raventideคุณจะรู้ว่าชีวิตกำลังถึงจุดพีกสุดของความเร้าใจ… เมื่อกิจกรรมหลักของเช้าวันนี้คือรอเครื่องซักผ้าหมุนจบ กับรายการวัฒนธรรมช่องห้าที่ยังหลงเหลืออยู่ช่วงสาย
Sponsored Ads
ช่องห้า… ก็ยังคงรักษามาตรฐานเดิม แพนกล้องอย่างช้าไปตามริมฝั่งแม่น้ำที่เต็มไปด้วยทราย เด็ก ๆ แบกถังทรายเดินเข้าออกวัดอย่างเงียบเชียบ เสียงบรรยายโทนเดียวแห้งสนิทพูดว่า
“การก่อเจดีย์ทราย… เป็นการนำดินทรายที่ติดเท้ากลับคืนสู่วัด และเป็นการถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล”
ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตกแต่งเจดีย์ทรายด้วยดอกไม้แห้ง เด็กชายสามคนตั้งใจพับธงทิวใส่กระถางเล็ก ทุกอย่างดูศักดิ์สิทธิ์พอ ๆ กับช้า ภาพตัดไปยังมุมบนที่แสงแดดแรงเกินกล้องจะปรับค่าไวต์บาลานซ์ทัน
“พระเจดีย์ทราย สัญลักษณ์แห่งความร่วมมือของชุมชน”
…เสียงบรรยายว่าเหมือนกำลังรายงานปล่อยจรวดขึ้นสู่วงโคจร
ขณะที่ฉันกำลังขูดคราบยางกล้วยออกจากกางเกงยีนส์ เงยหน้าขึ้นมองพระเจดีย์ทรายแบบที่เพิ่งรู้ว่าฉันนั่นแหละ… คือทรายที่ถูกคนทั้งเมืองเหยียบ แล้วแบกกลับเข้าวัด
ลาเต้ยืดตัวจนสุดเท้า ทิ้งตัวอยู่ตรงปลายเตียงเหมือนเป็นพิธีกรรายการ เขาเหลือบมองฉัน… อย่างเบื่อ ๆ จากนั้นหันไปมองจอทีวี เหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะงีบต่อดี หรือร้องเรียนกับสถานี
ฉันเกือบจะเปลี่ยนช่องแล้ว แต่มือยังไม่ถึงรีโมต กล้องเปลี่ยนภาพไปก่อน เด็กหญิงคนหนึ่งนั่งยอง ๆ อยู่บนทรายริมแม่น้ำ มือเลอะเต็มไปด้วยทรายเปียก เธอยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ กำลังก่ออะไรบางอย่างที่ดูเหมือนสี่เหลี่ยมเบี้ยว ๆ ใกล้ ๆ กันมีผู้ใหญ่สองคนช่วยกันขุดทรายจากลำคลอง เทใส่กระสอบ ก่อนจะแบกขึ้นฝั่งอย่างระวัง เสียงบรรยายยังโทนเดิม ไม่รีบ ไม่เร่ง
“การก่อพระทรายน้ำไหล คือการนำทรายจากแม่น้ำ เพื่อก่อเจดีย์ทราย ใช้ในงานบูรณะวัด และเป็นการร่วมแรงร่วมใจของชุมชน…”
เด็กหญิงคนนั้นพูดกับอากาศรอบตัว ราวกับคำอธิษฐานกำลังแทรกตัวอยู่ในเสียงลม
“หนูจะทำบ้าน…”
เธอก่อสี่เหลี่ยมบิด ๆ เบี้ยว ๆ ข้างเจดีย์ใหญ่ เด็กคนอื่นเริ่มว่ายน้ำ ตีกัน แย่งดอกไม้เฉา ๆ จากใครสักคน ดูจากวิธีเหวี่ยงแขน… อนาคตคงได้เป็นประธานชมรมชุลมุนแน่นอน ข้างใต้จอมีคำว่า “ถ่ายทอดสดจากวัดท่าสุทธาวาส จังหวัดอ่างทอง” แต่อารมณ์ที่ส่งมาถึงห้องเช่ากรุงเทพฯ มันแปลกกว่านั้น…
เพราะอยู่ดี ๆ ฉันก็คิดถึงคำว่า “บ้าน” ในวันที่ไม่มีหลังคาไหนแน่ใจได้ ว่ามันจะกันเสียงดังของคนอื่น… หรือกันเงียบของตัวเองได้จริง
แล้วจู่ ๆ ความทรงจำก็ไหลเข้ามา เหมือนน้ำใต้ทรายที่ไม่เคยหายไปไหน มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อน ที่เวียงป่าเป้า ในวัดใต้ต้นโพธิ์ที่แดดแรงจนทรายร้อนขึ้นมาตามฝ่าเท้า ตอนที่แป้งนั่งอยู่กลางลานทราย ใช้ขันน้ำตักดินเปียก ตบแน่น ๆ แล้วหัวเราะใส่พระอาทิตย์ ส่วนพี่วัฒน์…ทำฐานทรายอย่างมั่นคง แบบไม่พูดมาก แต่ตบทีเดียวไม่เอียงเลย
ข้าง ๆ กัน มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุราวหกขวบ ใส่ชุดลายดอก ถุงเท้าคนละข้าง หน้าตาจริงจังผิดวัย เธอก่อเจดีย์ของตัวเองแล้วพังเองไปราวห้ารอบ ทุกครั้งมันเอนล้มแบบควายเหนื่อย แต่เธอก็ลุกขึ้นใหม่ ไม่มีใครห้าม ไม่มีใครช่วย เธอแค่ขุด ตบ ถม ประกอบใหม่ หน้าตาแน่วแน่แบบคนที่เริ่มฝึกใจพังตั้งแต่ประถม
ลาเต้ยืดตัวหาวหางสั่น เหมือนจะบอก อย่าเพิ่งเข้าสู่โหมดดราม่า
ฉันเลยแค่ยิ้มกับตัวเอง แล้วหันกลับมาดูรายการวัดริมแม่น้ำในช่องห้า ปล่อยให้ความทรงจำ… ตั้งเจดีย์ของมันเองเงียบ ๆ
แล้วผู้ประกาศก็พูดประโยคนี้…
“ถึงแม้เจดีย์ทรายจะพังทุกปี… ชุมชนก็กลับมาก่อใหม่ได้เสมอ”
ฉันปิดทีวีทันที เปิด Dynabook ขึ้นมา หน้าจอว่างรออยู่
ชื่อไฟล์: ‘ก่อกองทราย.doc’
มีแค่ความทรงจำจากประโยคที่หลุดจากปากผู้ประกาศข่าว กับแมวที่ดูจะไม่อินกับความทะเยอทะยานของมนุษย์ แต่แค่นี้ก็ถือว่าดีกว่าวันจันทร์ส่วนใหญ่แล้วล่ะ
Sponsored Ads
———————
ร่างแรก กับแมวที่มีส่วนร่วม
ปรากฏว่าการเขียนผลงานชิ้นเอกนั้นยากยิ่งกว่า เมื่อแมวของคุณนั่งทับร่างของคุณ และข้าวที่เหลือของคุณก็กลายพันธุ์เป็นสัตว์เลี้ยงตัวที่สอง
แต่วันนี้ฉันตั้งใจ จะเขียน “ก่อกองทราย” ให้เสร็จให้ได้
📖 “ลำน้ำนั้นไหลมาจากทิศตะวันตก ทอดตัวเลื้อยเลี้ยวเข้าเขตหมู่บ้าน แบ่งแผ่นดินออกเป็นสองส่วน…”
ลาเต้เลือกช่วงจังหวะนี้แหละ พุ่งตัวขึ้นมาวางน้ำหนักทั้งหมดไว้บน Dynabook อย่างภูมิใจ เท้าหน้ากดปุ่ม Insert ค้างไว้ ประโยคฉันเลยดูเหมือนบทกวีทดลองแบบไร้ความสมัครใจ
ฉันพยายามดันเขาออก แต่เขาแข็งแรงประมาณดาวนิวตรอน เสียงมอเตอร์ไซค์ระเบิดลั่นนอกหน้าต่าง กลบทุกเสียงในหัวฉันหมด เหลือแต่เสียงท่อไอเสียของความพยายาม
ถ้าข้างห้องกำลังเขียนบทกวีอยู่… ก็คงได้ผลงานระดับกลางค่อนไปทางหายนะพร้อมกันหมด ฉันมองหน้ากระดาษกับลาเต้สลับกัน หนึ่งคืออนาคตวรรณกรรม อีกหนึ่งคือสัตว์ที่กำลังบด delete key อย่างต่อเนื่อง ถามตัวเองว่า ถ้าแมวมองฉันอยู่จริง ๆ… เขาคงให้รางวัล “นักเขียนที่ท้อแต่พิมพ์ต่อ”
แต่ฉันก็พิมพ์ต่อ
📖 “วันแล้ง ร้อนอย่างร้ายกาจ แผ่นดินระยิบระยับด้วยเปลวแดด แสงแดดส่องทะลุใบลำไย…”
ลาเต้ยืดตัว… แล้วลงน้ำหนักเต็ม ๆ บนปุ่มคำถาม
“???????????????????” พล็อตทวิสต์แบบแมวเวิร์กช็อป
ฉันถอนหายใจ กด undo จนเหมือนเล่นโยคะนิ้ว ลาเต้พยายามกลบเกลื่อนด้วยการเลียมือหน้าตาเฉย เป็นแมวที่ไม่เคยยอมรับว่าเป็นบรรณาธิการเงา
เรื่องในหัวเริ่มไหลลื่น จากภาพเด็กริมแม่น้ำในทีวี แป้งนั่งอยู่กลางลานทราย และเด็กผู้หญิงที่ก่อเจดีย์ของตัวเองด้วยหน้าตาแน่วแน่จริงจัง แล้วกลับมาที่ภาพเด็กในเรื่องสั้น ที่สร้างอาณาจักรจากทราย ท่ามกลางผู้ใหญ่ที่มัวแต่ทายกันว่า “จะพังภายในกี่นาที”
ฉันพิมพ์ว่า:
📖 “เด็กหญิงยังนั่งอยู่ที่เดิม คอยกวาดทรายเข้าหาตัวแล้วพูนตะล่อมขึ้นเป็นคันยาวต่อกันสี่ด้านในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฉันจะทำบ้าน….” เธอพูดกับตัวเอง แววตาเป็นประกายเฟื่องฝัน…”
แล้วรู้ตัวว่ากำลังยิ้ม บางทีนี่แหละคือสัญญาณว่าเขียนได้จริง ถ้าในห้องที่มีกลิ่นน้ำปลาอ่อน ๆ แล้วเรายังหัวเราะกับอะไรได้เอง ศิลปะชิ้นนั้นก็คงทนพอจะอยู่ในกรุงเทพฯ ได้บ้าง
ลาเต้ไม่สนใจ สะบัดหางทีเดียว ดินสอหล่นลงหลังเตียง เขาเรียกสิ่งนี้ว่า การมีส่วนร่วมในวรรณกรรม (โดยไม่รับผิดชอบผลลัพธ์ใด ๆ)
ฉันพิมพ์ต่อ แม้รู้ว่าประโยคเมื่อเช้าจะถูกลบทิ้งตอนบ่าย และบันทึกซ้ำอีกรอบตอนค่ำ บางทีการเขียนก็เหมือนก่อเจดีย์ทราย ไม่ได้เพื่อให้คงอยู่ แต่เพื่อได้ทำอย่างตั้งใจ แล้วดูมันพังอย่างมีศักดิ์ศรี ลาเต้ยืดตัวพาดคีย์บอร์ดอีกครั้ง พร้อมท่าทางแบบพระเอกที่กลับมาทวงบท
Sponsored Ads
———————
ล้มสิบก่อสิบเอ็ด
ถ้าการเขียนคือการก่อเจดีย์ทราย ฉันคงพังรอบที่สามไปเรียบร้อย
หลังแรกของเด็กหญิงในเรื่องโดนฝูงเด็กผู้ชายวิ่งไล่บอลเหยียบ หลังที่สองเจอคลื่นซัดม้วนเก็บเรียบ หลังที่สาม…เอ่อ… บ้านหลังที่สามพังทลายเพราะพล็อตโฮลที่ใหญ่โตพอจะตั้งศาลพระภูมิให้ตัวละครที่หายไปได้ ฉันลองหาว่าตัวละครคนนั้นหายไปตั้งแต่ตอนไหน… พบว่าเขาหายตั้งแต่ร่างแรก และฉันเองก็ไม่เคยคิดถึงเขาจริง ๆ ด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะลืม แต่เพราะไม่กล้ายอมรับว่าเขาไม่มีบท
ฉันพิมพ์ว่า
📖 “เด็กหญิงร้องลั่นเมื่อเห็นบ้านดินทรายของเธอราบเรียบกับรอยตีน “ไอ้บ้า…. แกล้งฉันทำไม” เธอแทบร้องไห้ หันรีหันขวางด้วยความขุ่นเคือง…”
ข้างนอกมีคนเถียงกับพี่มอเตอร์ไซค์เรื่องมะม่วงสองลูก ทีวีห้องข้าง ๆ เปิดละครแนวตบตีโหยหวน
📖 ““ทำใหม่อีกก็ได้” เธอบอกตัวเอง แล้วเริ่มต้นคุ้ยทรายขึ้นมาใหม่ ครั้งนี้เปลี่ยนจากที่เดิมมาเป็นริมน้ำ …”
และลาเต้เปลี่ยนยุทธศาสตร์จากทับคีย์บอร์ด เป็นวางคางไว้บน space bar แล้วหางหมุนวนอยู่แถวปลั๊กไฟเหมือนกำลังจะทำลายระบบงานเขียนทั้งระบบ
ฉันพึมพำ “ถ้าเธอทำได้ ฉันก็ต้องทำได้”
เสียงในหัวตะโกนกลับว่า “ใครคือเธอวะ?” แต่ฉันพิมพ์ต่ออยู่ดี ความดื้อของนักเขียนมันมักชนะความจริงประมาณสามวินาทีต่อครั้ง
บางทีการเขียนกับการก่อทรายมันก็เหมือนกันจริง ๆ ถ้ามันไม่พังเลย…มันก็ยังไม่ใช่ของเราจริง ๆ
ฉันต่อด้วยบรรทัดใหม่
📖 ““ทำเจดีย์” เด็กหญิงพูด เธอกำลังแต่งยอดเจดีย์ทรายให้เรียวแหลม แต่แล้วคลื่นใหญ่จากวังวนก็โถมเข้าเซาะจนแหว่งไปอีกด้าน “พังหมดแล้ว” เด็กชายว่า “ไม่หมด” เด็กหญิงพูด “มันยังอยู่”…”
ฉันยิ้มออกมา ในนิยายเหมือนในชีวิต ทุกการสร้างมีไว้ให้จักรวาลโชว์สกิลทำลายล้าง
ลาเต้คงเบื่อแล้ว กระโดดลงจากโต๊ะ พาดร่างผ่านกองกระดาษร่างอย่างไม่รู้สึกผิด กระดาษปลิวเหมือนเขากำลังจัดฉากแผ่นดินไหวจำลอง ถือว่าเขามีส่วนร่วมในงานสร้างสรรค์วันนี้เรียบร้อย
บางทีงานเขียนก็เหมือนเจดีย์ที่ถูกเซาะจนกลายเป็นรูปร่างใหม่ มันไม่เคยเสร็จสมบูรณ์ แต่มันจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนพยายามปั้นมัน ลาเต้เดินข้ามมันไปเหมือนเดินผ่านพิพิธภัณฑ์ศิลปะชั่วคราวของมนุษย์โง่คนหนึ่ง
Sponsored Ads
———————
เขียนเสร็จ แต่ยังไม่ส่ง
บางเรื่องจบลงด้วยเสียงปรบมือ บางเรื่องก็ใบ้คำปฏิเสธ และบางเรื่อง (จริง ๆ แล้วส่วนใหญ่) ก็จบลง… เพราะแมวหิว
ฉันพิมพ์ส่วนสุดท้าย
📖 ““เราทำให้มันสูงเท่าเจดีย์เลยนะ” “ฮืมม์…” เด็กหญิงพยักหน้า “แล้วฉันจะเอาช่อลำไยไปเสียบที่ยอดของมันด้วย” น้ำเสียงของเธอตื่นเต้น แล้วทั้งสองก็หัวเราะขึ้นพร้อมกันดัง ๆ
ลำน้ำยังไหลเรื่อยริน กลุ่มเด็กชายยังไม่เลิกเล่นกระโดดน้ำ ตะวันเที่ยงทรงกลดร้อนแรงอยู่บนฟ้า สาดแสงอาบท้องน้ำเป็นประกายเจิดจ้า และริมหาดทรายนั้นเด็กสองคนกำลังเร่งก่อกองทรายเป็นการใหญ่.”
ฉันกดเซฟไฟล์ ‘ก่อกองทราย.doc’
ฉันเกือบจะกดส่งอยู่แล้ว แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ มันไม่ใช่เพราะไม่กล้า แต่เพราะบางครั้ง การกดส่งคือการยอมรับว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนแล้ว และนั่นต่างหากที่น่ากลัว งานเสร็จแล้วก็จริง แต่ใจยังวนกลับไปอ่านทวน คืนนี้ปล่อยให้เจดีย์นี้ยืนอยู่ตรงนี้ก่อน
ลาเต้เดินกลับเข้ามาอย่างช้า ๆ เหลือบมองหน้าจอ Dynabook ด้วยสีหน้าแบบนักวิจารณ์ไม่ประสงค์ออกนาม แล้วกระโดดขึ้นโต๊ะ ทิ้งตัวลงนอนบนแป้น space bar พอดี
ตีความได้ว่า จบได้แล้วมั้ง หรืออย่างน้อยก็พอสำหรับวันนี้
ฉันเปิดโน้ตดิจิทัลแล้วเขียนว่า
“2 พฤษภา 2001 – เรื่องสั้นจบ, แมวอนุมัติยังไม่ส่ง รอดูว่าพรุ่งนี้คลื่นลูกใหม่จะมาไหม”
ฉันมองประโยคสุดท้ายซ้ำอีกรอบ มันดูเล็กไปนิด และดูจริงไปหน่อย เหมือนเจดีย์ทรายที่ใครบางคนปั้นอย่างตั้งใจ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะให้ใครเห็นหรือเปล่า
ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ไฟในเมืองกะพริบ ข้างห้องทำจานหล่นเสียงดัง ลาเต้ครางเบา ๆ เหมือนบอกว่า พอแล้วสำหรับวันนี้ ก่อกองทรายในไฟล์ (ชั่วคราว) ยังอยู่ และในกรุงเทพฯ อภิวัฒน์… แค่นั้นก็นับว่า “อยู่รอด” ได้แล้ว
Sponsored Ads
เค้าโครงเรื่องจาก ก่อกองทราย (2527)
ไพฑูรย์ ธัญญา
0 Comments