You have no alerts.
    Header Background Image
    นิยายแปล แบ่งปัน สนุกขำขัน ได้ที่นี่ WhatANovel.com
    Chapter Index

    มือถือสั่นสี่ครั้งก่อนที่ฉันจะลืมตา ไม่ใช่เพราะรีบรับ แต่เพราะแรงสะเทือนทำให้กระเป๋าสตางค์ตกจากโต๊ะ มันกระแทกพื้นด้วยเสียงทึบ ๆ แต่ว่างเปล่า

    “อย่าบอกนะว่าเงินเข้า…” ฉันพึมพำ พลางกดดูข้อความแรก

    Sponsored Ads

    [SMS – Bank of New Siam]
    เงินเข้า: ฿532,266.56
    จาก: Sakdina Records
    รายละเอียด: Royalty – เจ้าหญิงคนต่อไป
    ยอดเงินคงเหลือ: ฿1,082,208.56

    ข้อความที่สองตามมาติด ๆ ด้วยตัวเลขที่ถ่อมตัวกว่านั้น

    [SMS – Bank of New Siam]
    เงินเข้า: ฿10,000.00
    จาก: ธนศักดิ์ เอียดภูรี
    รายละเอียด: Payment – เจ้าชายในฝัน
    ยอดเงินคงเหลือ: ฿1,092,208.56

    แล้วก็มีข้อความที่สามตามมาแทบจะทันที

    [SMS – Bank of New Siam]
    เงินเข้า: ฿20,000.00
    จาก: พึ่งใจมิวสิค
    รายละเอียด: Launch Bonus – เจ้าหญิง / ดาวบนผืนน้ำ
    ยอดเงินคงเหลือ: ฿1,112,208.56

    ข้อความสุดท้ายคือของเก่าจากวันศุกร์

    [SMS – Bank of New Siam]
    เงินเข้า: ฿117,826.50
    จาก: พึ่งใจมิวสิค
    รายละเอียด: Royalty Payment – Ton & The Temporarys
    ยอดเงินคงเหลือ: ฿ 1,230,035.06

    ฉันวางมือถือไว้ข้างหมอน แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่เพราะง่วง แค่เป็นกลไกอัตโนมัติ  แบบที่คนเราพัฒนาขึ้นหลังจากเจอแต่ความว่างเปล่าจนเริ่มสับสนว่า “พอมี” นี่มันคือโชคดีหรือแค่กับดัก

    เสียงตุ้บเบา ๆ ลาเต้กระโดดขึ้นเตียง หางแกว่งเหมือนเครื่องนับจังหวะที่ตั้งค่าไว้กับความประชด  เขามองฉันนิ่ง ๆ ไม่กระพริบตา

    “เอาไงดีวะ” ฉันพึมพำลอย ๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเขา “จะให้ผมดีใจเหรอ?”

    เขาตอบด้วยการเดินข้ามอกฉันไป แล้วเหยียบลงตรงมุมโทรศัพท์เป๊ะ

    ฉันตีความว่านั่นคือการประชดจากสวรรค์ เลยลุกขึ้นนั่ง กลิ่นในห้องเหมือนฝุ่น มาม่า และมติที่ไม่เคยปัดกวาด ฉันเอื้อมไปหยิบสมุดโน้ต แบบกระดาษจริง ๆ เลอะหมึกหน่อย ๆ แต่ซื่อสัตย์กว่าไฟล์ใด

    หน้าแรก เขียนไว้ว่า

    ศักดินา – เจ้าหญิงคนต่อไป – ฿532,266.56
    พี่ต้น – เจ้าชายในฝัน – ฿10,000
    พึ่งใจ – Bonus – ฿20,000
    ลิขสิทธิ์จากพี่ต้น  – ฿117,826.50

    “ทั้งหมดเกือบเจ็ดแสน…” ฉันพึมพำ แล้วขีดคำนั้นทิ้งทันที  เขียนใหม่ว่า “…ยังไม่รู้จะเอาไปทำอะไร”

    ลาเต้ไปนอนที่ริมหน้าต่าง ไม่ร้อง ไม่ตัดสิน แค่ยื่นอุ้งเท้าออกไปรับแสงแดดอย่างคนที่เป็นเจ้าของมันโดยกำเนิด

    ฉันลุกขึ้นจะไปชงกาแฟ แต่หยุดอยู่ตรงซิงก์ กาต้มน้ำแห้งสนิท เหมือนความตั้งใจจะต้มอะไรก็แห้งไปพร้อมกัน

    กลับมาที่โต๊ะ ฉันเปิดโน้ตบุ๊ก  เสียงพัดลมเครื่องดังเหมือนบรรณารักษ์ที่ถูกเรียกให้ทำโอทีในวันหยุด หน้าจอกระพริบสองที แล้วขึ้นไอคอนสองอัน 

    – “royalty_tracker.xls” 

    – “pending_invoices.txt”

    ฉันวางเมาส์ไว้เฉย ๆ ไม่ได้คลิกสักไฟล์ แต่กลับเปิดหน้าเปล่าขึ้นมา แล้วพิมพ์ว่า

    ถ้าระบบมันให้แค่เงิน แล้วผมจะอยู่เพื่ออะไร?”

    แล้วก็ลบมันทิ้งทันที ลาเต้กระโดดลงจากขอบหน้าต่าง มายืนข้างกองซีดีเดโม เขาไม่ผลักอะไรตก นั่นคือเวอร์ชันของเขาที่เรียกว่า เบามือ

    “วันนี้ไม่ร้องไห้นะครับ” ฉันบอกเขา “ไม่ใช่เพราะเข้มแข็ง… แต่อยากให้มันเงียบ ๆ”

    เขากระพริบตาช้า ๆ ทีหนึ่ง เสียงแตรรถจากทางด่วนดังมาแว่ว ๆ เหมือนเตือนว่าเมืองนี้ยังมีเสียงเหลืออีกเพียบ

    ฉันมองยอดเงินอีกครั้ง มันดูเหมือนเงินของคนอื่นมากกว่าของตัวเอง เปิดซองจดหมายใต้หนังสือ ซองที่ทิ้งไว้ตั้งแต่เดือนก่อน ค่าเช่าห้อง ไม่ได้ค้างจ่าย  และก็ไม่เคยล่วงหน้า

    แล้วก็นึกถึงประโยคเก่า ๆ ที่พี่ต้นเคยพูดไว้  ถ้าร้องแร็ปแล้วขายได้ มึงช่วยเขียนไปเลยนะกรณ์ กูจะยืนเต้นเอง”

    มันไม่ใช่คำแนะนำ มันคือคำท้า และตอนนี้ที่มีเงินอยู่ มันดันรู้สึกเหมือนฉันชนะโดยไม่ตั้งใจ

    ฉันเอื้อมไปกดสวิตช์โมเด็มใต้โต๊ะ ไฟแดงกระพริบสองที แล้วค้าง อินเทอร์เน็ต เหมือนทุกอย่างในเมืองนี้ มาสายแต่ไม่เคยขอโทษ

    “อย่าบอกนะว่าเน็ตล่มตอนเงินเข้าพอดี…” ฉันบ่น 

    แอปธนาคารโหลดหมุนติ้ว เหมือนกำลังตัดสินฉัน กดใหม่ก็ยังไม่มีอะไรขึ้น

    สุดท้าย ฉันทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่รับผิดชอบทุกคนต้องทำ ปิดแอป แล้วมองออกนอกหน้าต่าง

    เสียงไซเรนหอนเบา ๆ จากที่ไกล ๆ ไม่เร่งรีบ แค่เบื่อ

    ยอดเงินยังอยู่ในธนาคาร บางที่ มั้ง

    ฉันลองโทรหาพี่ต้นต่อ แค่จะบอก… บางอย่าง อะไรก็ได้ เสียงรอสายดังครั้งเดียว ก่อนตัดเข้าสายฝากข้อความ

    “กรุณาฝากข้อความไว้หลังจากเสียงนี้…”

    ฉันไม่ฝาก แค่วางโทรศัพท์คว่ำลง แล้วนั่งคิดว่า… ครั้งสุดท้ายที่ฉันมีเงินแบบนี้คือเมื่อไหร่ ไม่ใช่เงิน “พอใช้” แต่เป็นเงิน “มากพอจะทำให้กลัว”

    ความจริงคือมันไม่เคยมี “ครั้งสุดท้าย”  มีแค่ตำนาน กับ SMS แจ้งเตือนล่วงหน้า

    เมื่อก่อน แค่มีพันเดียวก็เหมือนปาฏิหาริย์  ตอนนี้ เลขศูนย์ในบัญชีมันรวมกลุ่มเหมือนกำลังประชุมวาระลับ ลาเต้ยืดตัวบนขอบโต๊ะ อุ้งเท้าห้อยออกนอกขอบ สายตาเฝ้ามองฝุ่นที่ลอยในแสงเฉียงยามเช้า หางเขาฟาดเบา ๆ หนึ่งที ทำแผ่นพับโฆษณาที่ม้วนไว้ใต้จอหล่นลงพื้น ตกตรงเท้าฉัน ยังไม่ได้เปิดดู เหมือนหลายสิ่ง

    “อยากให้ผมเขียนอะไรออกมาหรือไง?” ฉันถามเขา

    เขาไม่ขยับ แค่กระพริบตาช้า ๆ เหมือนรู้ว่าฉันยังไม่พร้อม

    บางทีนั่นแหละ บางที นี่ไม่ใช่ช่วงที่ต้องเขียน แต่เป็นจังหวะหยุด เสียงคลิกก่อนแทร็คถัดไป ลมหายใจเงียบ ๆ ก่อนบทหนึ่งจะเริ่ม

    ฉันเก็บกระดาษแผ่นบาง ๆ ขึ้นมา  แผ่นรองระบายสีลายธงชาติจากชุด Happy Meal
    “ของเล่นเสริมชาติในราคาเบอร์เกอร์เด็ก” ฉันพึมพำ แล้วยิ้มแบบไม่รู้ตัว

    จากนั้น ฉันกดปิดหน้าจอ ไม่ใช่เพราะตัดสินใจได้แล้ว แค่… ไม่อยากเปิดไว้เฉย ๆ ก็เท่านั้น

    Sponsored Ads

    ———————

    ส่งอะไรมาวะ?

    โทรศัพท์ดังขึ้นในขณะที่ฉันยังจ้องแผ่นพับจากเมื่อเช้าอยู่ ฉันไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าใครโทรมา  ก็ไม่มีใครเหลือมากพอจะใช้เบอร์ฉัน ยกเว้นเวลาฉุกเฉิน… หรือเรื่องตลก

    “ฮัลโหล?” ฉันรับ

    “มึงส่งเพลงอะไรมาให้กูเล่นวะ?”  เสียงพี่ต้นดังผ่านสายมา พร้อมกับเสียงหัวเราะครึ่งหนึ่งและเสียงหึอีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งมักจะนำมาก่อนคำชม… หรือหายนะ

    “เพลงที่พี่ขอไง…” ฉันตอบ พลางลากแผ่นพับลงถังขยะอย่างช้า ๆ “‘เจ้าชายในฝัน’ จำไม่ได้เหรอ?”

    “กูจำได้ แต่กูไม่ได้ขอเวอร์ชั่นที่มีแร็ป!”

    ฉันเงียบไปพักหนึ่ง

    “…แต่มันติดหูไม่ใช่เหรอ?” ฉันถามกลับ

    “ติดหูพ่อมึงดิ มันติดใจคนฟังเลยต่างหาก!”

    ลาเต้ เหมือนรู้คิว เดินข้ามห้องมาแล้วกระโดดขึ้นโต๊ะอย่างเงียบ ๆ อุ้งเท้าของเขาลงใกล้ลำโพงโทรศัพท์พอดี หางเฉียดขอบโต๊ะเหมือนใส่จังหวะเน้น

    “แล้วพี่ว่าไง?” ฉันถาม มองลาเต้ที่นั่งนิ่งราวกับผู้พิพากษา

    “กูว่า… มึงแม่งกล้าโคตร” พี่ต้นว่า “กูฟังสามรอบ กูยังไม่แน่ใจว่ากูจะโกรธ หรือกูอยากเปิดมันในคอนเสิร์ต”

    “ผมส่งอีกเวอร์ชั่นที่ไม่มีแร็ปก็ได้นะ…” ฉันเสนอ

    “ไม่ต้องเลยมึง” เขาตัดบททันที “ถ้าแฟนเพลงด่ากู มึงต้องออกมารับเองนะเว้ย”

    “โอเค… ถ้าแฟนเพลงกรี๊ดล่ะ?”

    “งั้นกูก็ยืนเต้นเอง… อย่างที่เคยบอกไง”

    เราทั้งคู่หัวเราะ 

    มันเป็นเสียงหัวเราะที่ไม่มีบทสรุป  แค่ยอมรับความจริงว่า อย่างน้อย ระบบก็ยังกลืนเราไม่หมด

    “จริง ๆ ไม่คิดว่าพี่จะใช้มันด้วยซ้ำ” ฉันพูดหลังเงียบไปสักพัก เสียงเบาลง “ผมก็แค่… ส่งไปเฉย ๆ”

    “ก็เพราะมึงส่งโดยไม่คิดมากนั่นแหละ มันถึงฟังได้”

    เกิดความเงียบในสาย ไม่ใช่เพราะอึดอัด แต่เพราะมัน… เต็ม

    ลาเต้กระพริบตาสองที แล้วผลักดินสอหล่นลงพื้น ไม่มีเหตุผล

    “กูต้องไปละ” พี่ต้นว่า เสียงเริ่มกลับเป็นโหมดงาน 

    “เจอกันคืนวันเสาร์นะ อย่าหายหัว”

    “รับทราบครับพี่”

    สายตัด  แต่ห้องยังอยู่เหมือนเดิม

    ฉันมอง waveform ที่ยังเปิดอยู่บนหน้าจอโน้ตบุ๊ก ท่อนฮุก ท่อนบริดจ์ แร็ปบ้าบอที่ไม่รู้หลุดเข้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทุกอย่างอยู่ในนั้น  มันอยู่มาตั้งแต่แรก แค่ฉันไม่คิดว่าจะมีใครฟังจนถึงจุดนั้นจริง ๆ

    ลาเต้กระโดดลงจากโต๊ะ แล้วเดินกลับไปที่หน้าต่าง หางชูสูง ท่าทางเหมือนเทพเซ็นอนุมัติอะไรจากสวรรค์เรียบร้อยแล้ว

    “ครั้งหน้าผมจะไม่ใส่แร็ปแล้วมั้ง…” ฉันพึมพำ

    ลาเต้ เขาไม่ขยับ บางทีเขาเข้าใจมากกว่าฉัน ฉันกดเล่นแทร็คตั้งแต่ต้น ไม่ใช่เพราะภูมิใจ แค่อยากรู้ว่าเขาได้ยินอะไร อินโทรที่ยังไม่กลม ท่อนฮุกที่พอจะใช้ได้ ประโยคหนึ่งที่เขียนเล่น ๆ แล้วลืมลบ

    มันไม่ได้ฟังดูเป็นมืออาชีพ แต่มันฟังดูเหมือนอะไรบางอย่าง… ที่รอดจากการถูกลืม หูของลาเต้กระดิกทันทีที่บีตลงจังหวะแรก  แล้วเขาหันหัวกลับมาเหมือนจะถามว่า ท่อนนี้อีกแล้วเหรอ?

    “ก็เขายังไม่ฟ้องลิขสิทธิ์นี่ครับ…” ฉันตอบ เหมือนพูดให้ตัวเองฟังมากกว่า

    เสียงเตือนอีเมลเด้งขึ้นมาดึงฉันกลับสู่โลกจริง 

    หัวเรื่อง:  RE: Confirmed – Ton&TheTemporarys / Club Loop Setlist

    ฉันเปิดอ่าน มีแค่บรรทัดเดียว:

    ลองดู ไม่มีรับประกัน ซาวด์เช็กภายในพุธนี้พอ”

    ไม่มีลายเซ็น คล้ายตัวเขา

    แทร็คยังวนเล่นอยู่ และฉันก็ไม่ได้หยุดมัน

    บางที วิธีเดียวที่จะได้ยินเพลงของตัวเอง คือได้ยินผ่านความลังเลของคนอื่น และบางครั้ง คนคนนั้นก็ดื้อพอจะเปิดให้มันดังอยู่ดี

    Sponsored Ads

    ———————

    ความเงียบ คือรูปแบบหนึ่งของการลบ

    ฉันไม่ได้เปิดอีเมลทันที แค่เห็นคำว่า “Sakdina Records” ในหัวเรื่อง ก็อยากจะปิดฝาโน้ตบุ๊กทับโลกทั้งใบไว้เลย

    แต่ลาเต้มีแผนของเขาเอง เขาเดินขึ้นมาบนคีย์บอร์ดด้วยน้ำหนักทั้งหมดของแมวที่ไม่เคยแต่งเพลงสักบรรทัด แต่เห็นชัดว่ามีความเห็นเรื่องเพลงทุกเพลง แท็บเปิดขึ้นเองอย่างชัดเจน

    หัวเรื่อง: Confidentiality Reminder – “เจ้าหญิงคนต่อไป”

    ฉันไล่อ่านเนื้อหา

    สั้น เรียบ เย็นชา เหมือนภาษาข้อกฎหมายมากกว่าภาษามนุษย์

    ขอเรียนแจ้งให้ท่านทราบว่า เพลง ‘เจ้าหญิงคนต่อไป’ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของศักดินาเรคคอร์ด ได้รับการปล่อยจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว”

    ไม่มีชื่อผู้แต่ง ไม่มี metadata ไม่มีคำว่า “ธนากร สิริพงษ์ชัย” มีแค่ลิงก์ไปหน้าปกโปรโมต กับบรรทัดท้ายว่า

    กรุณารักษาข้อตกลงความลับตามที่ระบุในภาคผนวกสัญญา A-3”

    ฉันปล่อยให้หน้าอีเมลค้างไว้แบบนั้น มือค้างอยู่เหนือแทร็กแพด ราวกับว่าสัมผัสเพียงปลายนิ้วจะเปลี่ยนเงื่อนไขอะไรได้ ลาเต้นั่งข้างจอเฉย ๆ นิ่ง มองเหมือนเทพเจ้าองค์เล็ก ที่เฝ้าดูมนุษย์เรียนรู้ซ้ำซากไม่จบ

    “ก็ไม่แปลก” ฉันพึมพำ “คนแต่งเพลงในฝัน ในโลกเทพนิยาย มันก็ไม่ได้อยู่ในความจริงอยู่แล้วนี่หว่า”

    ไม่มีคำตอบ มีแค่เสียงพัดลมโน้ตบุ๊กที่หมุนเบา ๆ กับความรู้สึกเงียบที่ค่อย ๆ แทรก ว่า… บางทีฉันเพิ่งยอมให้คนอื่นลบตัวฉันไป

    ด้วยราคา ฿532,266.56

    แลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม?

    ไม่เลย แต่มันคือการแลกที่ฉันยอม ด้วยตาที่ยังลืมอยู่เต็ม ๆ

    ฉันตรวจสอบบันทึกบัญชีเพียงเพื่อความแน่ใจ มันอยู่ตรงนั้น Royalty Payment – เจ้าหญิงคนต่อไป: Sakdina Records”  อยู่บรรทัดเหนือคำเตือนไม่ให้บอก OTP ไปเสี้ยวเดียว

    ยอดเงินมองกลับมาที่ฉัน ครึ่งล้านบาท มากกว่าที่ฉันเคยมีในชื่อของตัวเอง พอจะปลดหนี้ทั้งหมด พอจะซื้อความเงียบ หรือพวกเขาคิดแบบนั้น

    เสียงกระดิ่งที่ปลอกดังเบา ๆ ลาเต้ขยับไปที่ขอบหน้าต่าง หันหลังให้จอ เหมือนประกาศอะไรสักอย่าง

    “ไม่ต้องขู่นะ ฉันไม่พูดอะไรอยู่แล้ว” ฉันบอกเขา

    เขาสะบัดหาง แต่ความเงียบ… ก็ไม่ใช่การลืม

    ฉันเขียนเพลงนั้นตอนชีวิตมืดสนิท ไม่ใช่ไฟดับ แต่ศักดิ์ศรีดับ ทำนองมันผุดขึ้นมาตอนที่ต่อรองราคาค่าตอบแทน ท่อนบริดจ์แต่งระหว่างรอ ทำไมพวกเราต้องรอ? ท่อนฮุก… เกิดขึ้นตอนที่ฉันรู้ว่าตัวเองมีค่ากว่าเมื่อถูกมองไม่เห็น

    และตอนนี้ มันถูกปล่อยออกไปในโลก โดยไม่มีแม้แต่เงาคนแต่ง

    มีแค่เด็กผู้หญิงในชุดเจ้าหญิง ลิปซิงก์กับความฝันที่ไม่ใช่ของตัวเอง

    ฉันคลิกลิงก์ไปดูหน้าปกโปรโมต ภาพมันมันวาว ไล่เฉดน้ำเงินราชวงศ์ ตัวอักษรประดับเลื่อม ภาพเงาสาวน้อยถือมงกุฎพลาสติกขึ้นรับแสงตะวัน พร้อมคำโปรยว่า

    “ศักดินาเรคคอร์ด presents the next generation of dreams.”

    ไม่มีเครดิต ไม่มีเนื้อเพลง ไม่มีความจริง

    แต่โลกนี้ไม่สนความจริง มันสตรีมภาพจำ

    ฉันปิดแท็บ แล้วเปิดหน้าเอกสารเปล่าขึ้นมา 

    ไม่ใช่เพื่อเขียน แค่จะเตือนตัวเองว่า หน้ากระดาษว่างหน้าตาเป็นยังไง ฉันตั้งชื่อไฟล์ว่า: `deferred_lyrics.txt` แล้วก็กดลบทันที

    ลาเต้กระโดดลงมา และเฉียดผ่านขาฉันเหมือนใส่เครื่องหมายวรรคตอน แล้วจามเบา ๆ แบบที่แมวมักทำตอนไม่พอใจแอร์

    “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” ฉันพูด 

    “พอได้เวลา มันจะเขียนของมันเองใช่ไหม”

    เขาไม่หันกลับมา แค่เดินเข้าครัว เหมือนฉากจบ ไม่มีอะไรต้องพูดอีก

    แต่ฉันรู้ว่าไม่ใช่ เพราะสักวัน จะมีใครบางคนถามว่า ใครเป็นคนเขียนเพลงที่หล่อหลอมยุคสมัยนี้

    และบางที เขาอาจไม่เจอชื่อฉัน

    แต่เขาจะเจอ “ความเงียบ” ตรงที่ซึ่งควรมีชื่ออยู่

    Sponsored Ads

    ———————

    คำปฏิเสธที่สุภาพที่สุด

    อีเมลฉบับนั้นมาถึงด้วยความสุภาพแบบเดียวกับฝ่ามือที่ตบหน้าเบา ๆ

    จาก: บ.ก.มองมา ([email protected])
    ถึง: ตะวันหลงทาง
    เรื่อง: ผลการพิจารณาเรื่องสั้น “ใต้เสา”

    ฉันอ่านมันหนึ่งรอบ แล้วอีกรอบ แล้วก็อีกรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการเหน็บแนมซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด

    “ด้วยลักษณะของเนื้อหาและรูปแบบการเล่าเรื่อง เราเห็นว่ามีบางประเด็นซึ่งอาจถูกตีความคลาดเคลื่อน…”

    นั่นคือวลีของพวกเขา ไม่ใช่ของฉัน ไม่ใช่ของลาเต้ด้วย ทั้งที่เขานั่งอยู่ข้างจอ มองเคอร์เซอร์บนจอเหมือนมันไปเหยียบหางเขา ฉันปล่อยให้ถ้อยคำวนอยู่ในหัว

    “อาจกระทบต่อความเข้าใจของผู้อ่านในวงกว้าง” 

    ซึ่งใน RB51 คือคำพูดสุภาพของ 

    “คุณไปแตะอะไรเข้า เราไม่อยากให้มันลุกลาม”

    มันไม่ใช่เรื่องการเมืองด้วยซ้ำ มันก็แค่เรื่องเสา กับ “อิน จัน มั่น คง” 

    แต่บางที… นั่นแหละคือปัญหา

    “งั้นก็ไม่ต้องตีพิมพ์” ฉันพูดเบา ๆ “ก็ไม่ต้องให้ใครเข้าใจหรอก”

    ลาเต้ไม่กระพริบตา แค่ขยับอุ้งเท้า เหมือนเทพเบื่อ ๆ ที่รอวันศุกร์มาไม่ถึงสักที

    ฉันปิดอีเมล  แล้วจ้องไปที่โฟลเดอร์เก่าที่ใช้ส่งต้นฉบับ 

    “stories_for_hope”  ตั้งชื่อไว้แบบนั้นจริง ๆ ตอนนี้ฉันควรจะเปลี่ยนชื่อเป็น “stories_they_don’t_want” มากกว่า

    การถูกปฏิเสธครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว นั่นคือสิ่งที่ฉันพยายามบอกตัวเอง  แต่ในระบบแบบนี้ การลบชื่อมักมาในห่อของความเคารพเสมอ

    ไม่มีความไม่พอใจ ไม่มีบันทึกย่อ ไม่มีขีดแดงจากกองบรรณาธิการ มีแค่ “ความว่างเปล่า” ในรูปของ “ความเงียบ”

    “นายคิดว่ามันจะมีใครอ่านไหมวะ?” ฉันถามลาเต้

    เขายืดตัว กลิ้งตัวไปด้านข้าง แล้วทำแก้วใส่ปากกาล้ม ปากกาหนึ่งแท่งกลิ้งตกจากโต๊ะมาใกล้เท้าฉัน

    “โอเค ตีความว่าให้เขียนต่อแล้วกัน”

    ฉันหักข้อนิ้วของฉัน แล้วหยุด ไม่ใช่เพราะลังเล แต่เพราะต้องเลือก “เสียง”

    แค่ประโยคหนึ่ง เศษความคิด เมืองหนึ่งที่ไม่อยากจำอะไรอีกแล้ว

    แต่ก็ยังหยุดฟังเสียงสะท้อนของมันไม่ได้

    Sponsored Ads

    0 Comments

    Heads up! Your comment will be invisible to other guests and subscribers (except for replies), including you after a grace period.

    Note