ฉันยืมรถกระบะของพ่อ คันเดิมที่เครื่องเล่นเทปจะทำงานเฉพาะเวลาฝนตก ลาเต้รออยู่แล้วที่หน้าประตูในกระเป๋าแมวของเขา เหมือนจองคิวหมอไว้เองล่วงหน้า
ถนนเข้าเมืองวันนี้เหมือนจะสั้นกว่าปกติ อาจเพราะฉันไม่ได้หนีอีกแล้ว หรืออาจเพราะวันนี้… ฉันไม่ได้ไปคนเดียว
Sponsored Ads
คลินิกตั้งอยู่หลังมินิมาร์ต ถัดจากศาลเจ้าที่มีตุ๊กตาม้าแก้บนวางเรียงราย ป้ายสีเขียวเขียนว่า “คลินิกรักษาสัตว์ หมอป้อม”
ข้างในมีกลิ่นไอโอดีน ขนสัตว์ และความอดทนของเจ้าหน้าที่ที่ใกล้หมดอายุ
“มาตรวจสุขภาพแมวก่อนเดินทางครับ” ฉันบอก
หมอกะพริบตาใส่ฉันหนึ่งที เขาใส่แว่นที่คล้องหูเดียว กับเสื้อยืดที่เขียนว่า “BEST DOG DAD” แบบที่ตัวหนังสือซีดจนอ่านแทบไม่ออก
“จะพาไปไหน?”
“กรุงเทพฯ ครับ”
เขาก้มมองลาเต้อย่างพินิจ
“ดูแข็งแรงดี… แต่ท่าทางจะดื้อ”
ลาเต้กระพริบตาช้า ๆ หนึ่งที น้ำเสียงเหมือนจะพูดว่า คุณน่ะ ยังไม่รู้ครึ่งเดียว
“ชื่ออะไร?”
“ลาเต้ครับ”
“อายุ”
“3 ปีครับ”
“กินข้าวดีไหม?”
“ครับ”
“ขับถ่ายปกติ?”
“ครับ”
“เลี้ยงในบ้านหรือปล่อยนอกบ้าน?”
“อยู่ด้วยกันตลอดครับ… แทบจะตลอดเวลา”
หมอพยักหน้าแบบที่ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วเขียนลงบนกระดาษ A4 ที่มีตราครุฑเล็ก ๆ อยู่มุมขวาบน
ชื่อ: ลาเต้
สายพันธุ์: แมวบ้านธรรมดา
เพศ: ผู้
อายุ: ~3 ปี
สุขภาพ: ปกติ ไม่มีโรคติดต่อร้ายแรง รับรองว่าเหมาะสมสำหรับการเดินทางโดยรถไฟ
ไม่มีการชั่งน้ำหนัก ไม่มีตรวจอะไรจริงจัง
มีแค่คำถามประโยคสั้น ๆ ที่แปลว่า “ก็โอเคล่ะมั้ง”
ลาเต้ถือโอกาสนั้นปีนขึ้นไปนั่งบนเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ ซึ่งส่งเสียงกรนออกมาทันที เหมือนมันก็มีข้อคิดเห็นแต่ไม่ได้รับเชิญ
“โอเค เรียบร้อย เดี๋ยวออกใบรับรองให้นะ ใบเดียวอยู่ได้ 7 วัน”
ฉันพยักหน้า
หมอยื่นกระดาษให้ฉัน พร้อมใบเสร็จค่าเอกสาร: ฿300 และค่าหมอแยกต่างหากอีก ฿150
ฉันจ่ายโดยไม่ต่อรอง ไม่มีอะไรให้ต่อ มีใบเสร็จ มีตราประทับ มีแมวที่นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์เหมือนศิวลึงค์ประจำอำเภอ
“เอาไปโชว์เจ้าหน้าที่รถไฟได้เลยครับ” หมอว่า
“ขอบคุณครับ”
เขายิ้ม
ลาเต้กระโดดกลับเข้ากระเป๋าเอง ท่วงท่าเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีและความไม่อิน
ฉันเดินออกจากคลินิกโดยไม่ได้ดูว่าเขาสะกดชื่อภาษาอังกฤษถูกไหม
ถ้าเขาเขียนว่า Late
ฉันก็จะปล่อยผ่าน โลกนี้ยังต้องอดทนต่อกันอีกหลายอย่างอยู่ดี
Sponsored Ads
———————
สถานี, ตราประทับ, และแมวที่ตัดสินทุกอย่างด้วยสายตา
สถานีรถไฟเวียงป่าเป้ามีเคาน์เตอร์แค่สองช่อง นาฬิกาสามเรือน (ไม่มีเรือนไหนตรงเวลา) กับพัดลมตัวหนึ่งที่หมุนเหมือนกำลังจะหลับเองก่อนใคร
ฉันจอดรถใต้ต้นไม้ที่น่าจะไม่ได้รับการตัดแต่งตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม แล้วอุ้มลาเต้ในแคปซูลเหมือนกระเป๋าถือเกินคุณสมบัติ
เจ้าหน้าที่ประจำสถานีเงยหน้าขึ้น ไม่ใช่จากคอมพิวเตอร์ ที่นี่ไม่มี แต่จากป้ายค่าตั๋วแบบพลาสติกเคลือบที่ถูกแปะด้วยเทปจนดูคล้ายศาลเจ้าขนาดย่อม
“ไปกรุงเทพฯ พรุ่งนี้เช้าครับ ขอจองตู้พิเศษสำหรับแมวด้วยครับ”
นายท่ารถไฟเธอเลิกคิ้ว “แมวมีใบหมอมั้ย?”
“มีครับ”
ฉันยื่นใบรับรองสุขภาพ, บัตร PetReg, และสำเนาวันเกิดของลาเต้ เหมือนกำลังขอวีซ่าไปแคทิฟอร์เนีย
เจ้าหน้าที่หยิบเอกสารขึ้นดู
“ชื่อ ลาเต้… ชื่อเล่นหรือชื่อจริง?”
“ชื่อจริงครับ เขาไม่มีนามสกุล”
ลาเต้ร้องเมี๊ยวเบา ๆ น้ำเสียงประมาณว่า ข้าเป็นเทพไม่จำเป็นต้องมีนามสกุล
“เดินทางพรุ่งนี้ 06:44 ขบวนที่ 52 ชานชาลาที่ 2 ลงสถานีกรุงเทพฯ อภิวัฒน์ ถึงกรุงเทพฯ ราวทุ่มนึงค่ะ”
“เข้าใจครับ”
เครื่องพิมพ์ตั๋วส่งเสียงดังคล้ายกำลังแกะสลักหินโบราณ กรืด… กึก… ตึ๊ดส์!
ลาเต้กระพริบตาหนึ่งที อนุมัติ
“รวมค่าโดยสารและค่าพาแมวไปด้วย หนึ่งพันเจ็ดร้อยบาทนะคะ”
ฉันยื่นธนบัตรใหม่สดจำนวนหนึ่งพันเจ็ดร้อยบาทให้โดยไม่เต็มใจ
เธอรับเงินนั้นเหมือนกับบริจาคให้วัดและเคาะลิ้นชักเธอยื่นตั๋วสองใบกลับมา ตอนนี้มันคือหลักฐานทางการว่าเรากำลังจะไปที่ไหน พร้อมแมวหนึ่งตัว
“รับเงินมาพอดีนะคะ”
“ครับ”
ก่อนจะเดินออก ฉันมองดูตั๋วอีกที ลาเต้ก็โน้มตัวมาเหมือนกำลังอ่านรายละเอียดตรงเชิงอรรถ
พนักงานเดินผ่าน พัดตัวเองไปด้วย หันมายิ้มให้ลาเต้อย่างขำ ๆ
“จะให้แมวเอาหมอนไปด้วยมั้ยล่ะ?”
“เขานอนบนเอกสารได้ครับ แค่นั้นพอแล้ว”
ลาเต้ไม่เถียง
เราก้าวออกจากสถานีด้วยกัน — ผู้ชายหนึ่งคน แมวหนึ่งตัว กับเอกสารอีกสองใบ
กลับสู่บ้านที่รู้ดีอยู่แล้ว… ว่าเราจะไม่อยู่นาน
Sponsored Ads
———————
การยืนยันและการอนุมัติจากแมว
บ้านเงียบดีตอนกลับมา ไม่ใช่เงียบแบบมีอะไรแปลก ๆ แค่เงียบแบบที่ทำให้บานพับทุกบานมันดังขึ้นกว่าปกติ ฉันเดินเข้าไปในห้อง ค่อย ๆ จัดเตรียมเอกสารใส่แฟ้มเอกสารสีน้ำเงิน ประกอบด้วย
– ใบรับรองสุขภาพของลาเต้
– สำเนาบัตรประชาชน
– ตั๋วรถไฟ: เวียงป่าเป้า → กรุงเทพฯ อภิวัฒน์, เวลาออก 06:44 วันที่ 18 เมษายน
– ตั๋วเสริม: สำหรับสัตว์เลี้ยง (แมวบ้าน – อยู่ในกระเป๋า)
ฉันอ่านทุกแผ่นสองรอบ แค่จะให้แน่ใจว่าฉันไม่ได้กำลังลักลอบขนแมวที่ตอนนี้กลายเป็นผู้จัดการอาชีพกลาย ๆ ของฉัน
ลาเต้กระโดดขึ้นโต๊ะ ไม่ใช่แบบสง่างามอะไรหรอก เขาไม่เคยมีโมเมนต์แบบนั้น แต่ก็ขึ้นมาด้วยท่าทีมั่นใจ
เขานั่งลงบนเอกสารตั๋วรถไฟแบบเต็มตัว
“โอเค อนุมัติแล้วสินะ” ฉันไม่ได้พยายามดึงกระดาษออกมา ไม่จำเป็น
เลยหันไปเก็บของแทน ของที่ต้องเอาจริง ๆ มีไม่มาก
– สมุดโน้ต
– ถุงเท้าสำรอง
– เทปเดโมสองม้วน
– วอล์กแมนที่เล่นได้เฉพาะตอนเอียงซ้าย 37 องศา
ลาเต้นั่งมองอยู่ตาเยิ้ม เหมือนจะพูดว่า รอบนี้ไม่ได้หนีนะ แค่กลับไปในที่ที่ควรอยู่เท่านั้นเอง
พัดลมตรงมุมห้องเอี้ยดขึ้นมาทีหนึ่ง ข้างนอกเสียงปั๊มน้ำดังเบา ๆ ไปตามท่อใต้สวน
ฉันรูดซิปกระเป๋า
เช็กลิสต์ครบ คราวนี้ไม่ต้องตื่นตระหนก ไม่ต้องรีบเร่งในนาทีสุดท้าย แค่ผู้ชายคนหนึ่ง กับแมวที่ชอบตัดสินตัวกลม ๆ กับตั๋วเที่ยวเดียวที่สะกดชื่อเขาถูกต้อง
เรากำลังจะกลับ
แต่รอบนี้…อาจจะไม่กลับไปมือเปล่าก็ได้
Sponsored Ads
———————
คืนสุดท้ายกับเสียงหัวเราะและของค้างตู้เย็น
ห้องยังมีกลิ่นหนังสือเก่า ยากันยุง และความสะอาดแบบที่เกิดจากแม่ซึ่งไม่เชื่อในน้ำยาที่โฆษณาในทีวี
ฉันพับเสื้ออีกตัวลงกระเป๋าเหมือนกำลังสมัครเป็นมินิมอลลิสต์ ผู้ชายแบบที่อ้างว่าอยู่ได้ด้วยเป้ใบเดียว แต่ทำหน้าตาเหมือนผ่านการบำบัดทางจิตมาแล้วสองรอบ
ลาเต้นอนขดเป็นขนมปังที่มีแนวคิดเชิงปรัชญา บนใบรับรองสุขภาพของตัวเอง หางกระดิกหนึ่งที ฉันตีความว่า แน่ใจนะกับแผนนี้ มนุษย์?
ฉันกำลังลังเลเรื่องจะเอาถุงเท้าไปไหม
ประตูห้องก็เปิดออก แป้งเดินเข้ามาแบบไม่เคาะ เหมือนทุกครั้ง ในมือถือทัปเปอร์แวร์ราวกับเป็นของศักดิ์สิทธิ์
“ของกิ๋นลำอยู่ตี้คนมัก ของฮักอยู่ตี้คนเปิงใจ๋” เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงคล้ายพิธีกรรมปลอม ๆ
ฉันมองหน้าเธอ “นั่นข้าวเงี้ยวจากเมื่อเช้า”
“แต่อบด้วยพลังของของค้างตู้เย็น” เธอว่า แล้วกระโดดขึ้นนั่งริมเตียง
“กินตอนนี้หรือไม่ก็เสียใจบนรถไฟ”
ฉันรับไว้ ไม่ใช่เพราะชอบ แต่เพราะกลัว
“รู้ใช่มั้ยว่ากรุงเทพฯ ก็มีอาหารขาย?”
“แต่ไม่ใช่ อันนี้ ไง” เธอย่นจมูก “BTS ไม่มีข้าวเงี้ยวป้า ๆ หรอก”
“จริง — BTS ไม่มีวิญญาณ”
เธอเอาข้อนิ้วนึงสะกิดลาเต้ เขากระพริบตา แต่ไม่ขยับจากจุด
“พร้อมยัง?” เธอถาม เสียงเบาลง
“แค่ต้องยัดของอีกนิดหน่อย” ฉันว่า “พวกของจำเป็น เช่น กางเกงใน ปมในใจ และข้าวเกรียบ”
เธอหัวเราะ แต่ก็ยังไม่ลุก ไหล่เอนลงนิด ๆ เหมือนอยากพูดอะไร แต่ยังไม่แน่ใจว่าได้หรือเปล่า
ฉันเลยพูดก่อน “ฉันจะไม่หายไปอีก”
“ดี” เธอตอบ แล้วรีบกลบด้วยเสียงประชด
“เพราะครั้งหน้าฉันจะไปด้วย แล้วจะขโมยแมวพี่ไปเลย”
ลาเต้ลืมตาข้างเดียว ท้าทาย
ฉันควานในกระเป๋าข้าง ๆ แล้วหยิบสิ่งที่ยังไม่ตั้งใจจะให้ตอนนี้ นิตยสาร มองมา ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ขอบมุมเริ่มซีดจากการถูกพลิกบ่อยเกินไป
“เอาไป” ฉันยื่นให้เหมือนของฝากตลาดนัด
“เผื่อมีอะไรน่าอ่านระหว่างเบื่อ ๆ”
เธอรับมาแบบงง ๆ พลิกดูปก
“อะไรอะ?”
“ก็รวมเรื่องสั้น” ฉันตอบ
“แนวเงียบ ๆ นิดนึง อาจไม่ใช่สไตล์เธอหรอก”
เธอมองฉันแวบหนึ่ง แบบที่ไม่ได้สงสัยจริงจัง แค่ไม่เข้าใจว่าให้มาทำไม
“แล้วอยากให้ฉันอ่านเรื่องไหน?”
“เปล่า” ฉันพูดพลางพับแขนเสื้อ
“ถ้าเปิดเจอเองก็ดี ถ้าไม่เจอก็ไม่เป็นไร”
เธอหรี่ตาเล็กน้อย
“แปลว่าเจอแล้วจะมีคำสาปใช่ไหม?”
“ถ้าเป็นคำสาป ก็อาจเป็นคำสาปแบบที่เธอเคยฝันถึงนั่นแหละ”
ฉันตอบเสียงเบา แล้วดึงซิปกระเป๋าให้แน่นขึ้นเล็กน้อย
เธอลุกขึ้นยืน พูดเหมือนไม่อยากให้ฉันต้องอธิบายอะไรอีก
“แวะกลับมาบ่อย ๆ ก็ได้นะ ไม่ต้องรอวันหยุดก็ได้ แม่ไม่พูดหรอก แต่… หลัง ๆ เห็นเธอมองออกนอกหน้าต่างเหมือนมันติดหนี้อะไรสักอย่าง”
คำพูดนั้นเจ็บกว่าที่คิด
ฉันไม่ได้ตอบ
แค่พยักหน้า
ลาเต้ขยับตัวในที่สุด ไม่ใช่แบบใหญ่โต แค่เอาหางพาดตั๋วรถไฟไว้ เหมือนปิดผนึกขั้นสุดท้าย
พรุ่งนี้ เราจะจากไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ ไม่ใช่เพราะหนี
Sponsored Ads