ผ้ายันต์เปล่งแสงจางๆ สัญลักษณ์ป้องกันเรืองรองบนผ้า ขณะที่มันคลุมโทรศัพท์ไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า วิญญาณถูกขังอยู่ข้างใน เสียงคำรามด้วยความโกรธของมันถูกลดทอน จนเหลือเพียงเสียงฮึมฮัมเบาๆ ใต้ชั้นผ้าศักดิ์สิทธิ์ ผมถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัวว่ากลั้นไว้ตลอดเวลา
Sponsored Ads
“โอเค” ผมพึมพำ ขณะนั่งลงบนส้นเท้า “อย่างน้อยมันก็คงอยู่แบบนี้… สักพักหนึ่ง”
เต๋าโผล่หน้ามองจากหลังโซฟาด้วยความกังวล ดวงตาเบิกกว้าง “แน่ใจเหรอ?”
“ไม่เลย” ผมตอบอย่างร่าเริง “แต่ถ้าวิญญาณพยายามหนี เราน่าจะรู้ทัน ก่อนที่มันจะฆ่าเราน่ะนะ”
เต๋าครางออกมาแล้วหดตัวลงไปหลังโซฟา พ่อคนฉลาด
ผ้ายันต์กระตุกเล็กน้อย ผมมองมันด้วยความสงสัย วิญญาณไม่ควรขยับได้ เมื่อถูกพันไว้ด้วยชั้นการป้องกันโบราณแบบนี้ แต่มันมีบางอย่างที่ยัง… ผิดปกติ
ผมขยับเข้าไปใกล้ขึ้น จ้องไปที่โทรศัพท์ใต้ผ้ายันต์ และนั่นเอง ผมเห็นมัน แสงสลัวๆ แทบมองไม่เห็น แทรกผ่านชั้นผ้าออกมาอย่างแผ่วเบา
“ไม่มีทาง…” ผมกระซิบ พลางค่อยๆ ดึงผ้ายันต์ออกเล็กน้อย และนั่นเอง สิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็ปรากฏชัดเจน
เวลายังคงเดินหน้า มันเย้ยหยันเราจากบนหน้าจอ เหลือเวลา 22 ชั่วโมง 47 นาที และกำลังนับถอยหลังอย่างไม่หยุด
เสียงของเต๋าดังมาจากหลังโซฟา “เอ่อ… ทำไมมันยังนับถอยหลังอยู่ล่ะ?”
ผมไม่ได้ตอบในทันที เพราะผมเองก็ไม่มีคำตอบ ผ้ายันต์ควรจะตัดการเชื่อมต่อของคำสาปกับโทรศัพท์ไปแล้ว แต่นับถอยหลังกลับยังทำงานอยู่ ราวกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ใต้พื้นผิว
Sponsored Ads
———————
**เปิดเผย: จุดอ่อนในคำสาป**
ผมนั่งลงจับแก้มตัวเองอย่างครุ่นคิด “คำสาปนี้ซับซ้อนกว่าที่คิด” ผมพึมพำ “แม้จะขังวิญญาณไว้ได้ แต่มันยังผูกโยงกับอะไรบางอย่าง… อะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น”
“ลึกซึ้งกว่า?” เต๋าถาม ขณะค่อยๆ คลานเข้ามาใกล้
“หมายความว่า” ผมพูดช้าๆ “วิญญาณไม่ได้ผูกติดแค่กับโทรศัพท์ แต่มันยัง ผูกติดกับคุณ… และพิมด้วย”
เต๋าหน้าซีดเผือด “คุณกำลังบอกว่า ไม่ใช่แค่โทรศัพท์ที่โดนสาป?”
“ใช่แล้ว” ผมพึมพำ พลางเหลือบมองตัวนับเวลาอีกครั้ง “โทรศัพท์เป็นแค่ส่วนหนึ่งของคำสาป แต่ความตั้งใจเบื้องหลังมัน ความโกรธและความเคียดแค้น นั่นแหละที่ทำให้เวลายังคงเดินอยู่ และวิธีเดียวที่จะทำลายคำสาปนี้ได้ คือการแก้ไข สิ่งที่เป็นต้นตอของความโกรธนั้นตั้งแต่แรก”
เต๋าครางออกมาเบาๆ “นี่เกี่ยวกับเรื่องวันเกิดใช่ไหม?”
ผมกรอกตา “เต๋า ผมขอสัญญาเลยว่า คำสาปนี้มันเกินกว่าการลืมวันเกิดไปเยอะ นี่มันเรื่องความรู้สึกแค้นที่ฝังลึกมากๆ และถ้าคุณไม่อยากไปงานศพของตัวเอง เราต้องไปหาพิมให้เจอ แล้วทำให้เธอยกเลิกคำสาปนี้ให้เร็วที่สุด”
Sponsored Ads
———————
**ตามหาพิม**
การหาพิมง่ายกว่าที่คิด แต่การทำให้เธอพูดเรื่องคำสาปนั้น ไม่ง่ายเลย
อพาร์ตเมนต์ของเธอเป็นห้องเล็กๆ ที่จัดอย่างเรียบร้อย ซ่อนตัวอยู่หลังร้านน้ำชาเก่าๆ มันเป็นพื้นที่ที่บอกเล่าเรื่องราวของเจ้าของได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นระเบียบ เนี้ยบ และในตอนนี้ เต็มไปด้วยความโกรธ เธอเปิดประตูแง้มพอให้เห็นใบหน้าที่จ้องผมอย่างไม่เป็นมิตร
“อะไรก็ตามที่เต๋าบอกคุณ มันไม่จริง” เธอพูดเสียงเฉียบขาด
ผมยิ้มอย่างเป็นมิตรที่สุดเท่าที่ทำได้ “ดีใจที่ได้เจอคุณเหมือนกันนะ พิม ขอเข้าไปได้ไหม? นี่เกี่ยวกับ aPhone ที่ถูกสาป”
ดวงตาของเธอเหลือบไปด้านข้าง ในช่วงจังหวะลังเลสั้นๆ นั้น ผมเห็นมัน ความรู้สึกผิด เธอรู้ดีว่าผมกำลังพูดถึงอะไร โดยไม่รอให้เธอตอบ ผมดันประตูเบาๆ และก้าวเข้าไปในห้อง
พิมกอดอก ท่าทางแข็งกร้าว “ฉันไม่ได้สาปอะไรทั้งนั้น”
ผมหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วชูให้ดู ตัวนับเวลาบนหน้าจออ่านว่า 3 ชั่วโมง 17 นาที และกำลังนับถอยหลังอย่างไม่หยุด
“จำได้ไหม?”
เธอสะดุ้งเล็กน้อย แต่รีบเก็บอาการอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร”
ผมถอนหายใจ “ฟังนะพิม เราไม่มีเวลามาเล่นเกมถามตอบกันแล้ว เงาของเต๋ากำลังถูกดึงไปใต้โลก และเจ้านี่” ผมเขย่าโทรศัพท์เน้นให้เธอเห็น “มันจะไม่หยุด จนกว่าจะลากเต๋าไปด้วย ตอนนี้คุณจะช่วยแก้คำสาปนี้ไหม? หรือจะปล่อยให้วิญญาณนี้ตามหลอกหลอนคุณตลอดไป?”
ท่าทีแข็งกร้าวของเธอค่อยๆ สลายลง เธอทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา มือกุมใบหน้า “ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้” เธอพึมพำ “ฉันแค่อยากแกล้งเขา ไม่คิดเลยว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้”
Sponsored Ads
———————
**คำสารภาพของหัวใจที่แตกสลาย**
หลังจากเกลี้ยกล่อม (พร้อมส่งสายตาดุๆ เล็กน้อย) พิมก็ยอมรับทุกอย่าง
“ฉันโกรธมาก เข้าใจไหม?” เธอสารภาพ “เต๋าไม่เคยจริงจังกับฉันเลย เขาลืมวันเกิดของฉัน โกหกเรื่องไร้สาระ แล้ว… ฉันก็ไม่รู้สิ ฉันคุมตัวเองไม่ได้”
เธอก้มหน้าลง มองพื้น เสียงของเธอเริ่มสั่นเครือ “ฉันไปเจอพิธีกรรมนี้ในอินเทอร์เน็ต มันบอกว่าจะทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกเพิกเฉย เหมือนมีใครสักคนตามหลอกหลอนความคิดของเขา ฉันไม่คิดว่ามันจะได้ผลจริงๆ แต่ตอนนี้…” เธอหยุดพูด สีหน้าของเธอเองก็ดูเหมือนถูกหลอกหลอนเช่นกัน
“และตอนนี้ วิญญาณที่คุณผูกไว้กับโทรศัพท์ กำลังควบคุมทุกอย่าง” ผมพูดเสริม “และมันกำลังจะตามเล่นงานคุณทั้งคู่”
ดวงตาของพิมเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว “มันก็หลอกหลอนฉันด้วยเหมือนกัน” เธอกระซิบ “ทุกคืนมันกระซิบเรียกชื่อฉัน ฉันนอนไม่หลับ และฉันเห็นอะไรบางอย่างในกระจก มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย”
“ก็ใช่” ผมพูด ขณะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ มันส่งเสียงฮึมฮัมเบาๆ อย่างน่าขนลุก “คำสาปพวกนี้ไม่มีคู่มือมาให้ และวิธีเดียวที่จะล้างคำสาปนี้ได้ คือต้องให้คุณเป็นคนยกเลิกมันเอง”
Sponsored Ads
———————
**พันธนาการวิญญาณ**
ทันใดนั้นโทรศัพท์สั่นอย่างรุนแรง อากาศในห้องก็เย็นยะเยือกลงทันที วิญญาณพวยพุ่งออกจากหน้าจอ บิดตัวเป็นควันดำและเงาทะมึนด้วยความโกรธ เต๋าซึ่งเดินตามเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ ร้องลั่นและกระโจนหลบไปหลังโซฟา
“อีกแล้วเหรอ!” เขาตะโกน
“ใจเย็น” ผมพูด พลางหยิบ สายสิญจน์ ออกจากกระเป๋า “ผมจัดการได้”
วิญญาณนั้นพุ่งเข้าใส่พิม กรงเล็บเงามืดยืดออกมาหาเงาของเธอ แต่ผมเร็วกว่า ผมสะบัดสายสิญจน์ในอากาศ และมันตึงขึ้นในทันที เรืองแสงสีขาวในขณะพันรอบร่างควันของวิญญาณ วิญญาณกรีดร้องด้วยความขัดใจ ดิ้นรนจะหลุดจากสายสิญจน์ แต่ไม่สำเร็จ สายสิญจน์ตรึงมันไว้อย่างมั่นคง
พิมนั่งตัวแข็ง สีหน้าซีดเผือด “แล้ว… ตอนนี้ทำยังไงต่อ?”
“ตอนนี้” ผมตอบ พลางส่งโทรศัพท์ให้เธอ “คุณต้องทำในสิ่งที่คุณควรทำตั้งแต่แรก ยกเลิกคำสาปนี้ซะ”
———————
**เตรียมพิธีล้างคำสาป**
เมื่อวิญญาณดิ้นรนอยู่ในพันธนาการของสายสิญจน์ เราไม่มีเวลามากนัก ผมดึง ผ้ายันต์ ออกมาและคลี่ลงบนโต๊ะกลาง วางโทรศัพท์ไว้ตรงกลาง สัญลักษณ์บนผ้ายันต์เปล่งแสงจางๆ ดูดซับพลังวิญญาณที่แผ่กระจายอยู่ในห้อง
“โอเค พิม” ผมพูดพลางยื่นขวดน้ำมนต์เล็กๆ ให้เธอ “คุณต้องรดน้ำมนต์ลงบนโทรศัพท์พร้อมท่องคาถาเดิม แต่ต้องท่องถอยหลัง”
ดวงตาของพิมเบิกกว้าง “ท่องถอยหลัง?”
“ใช่แล้ว” ผมตอบ พลางหยิบ มีดหมอ ออกมาวางข้างโทรศัพท์ “และพอคุณท่องเสร็จ ผมจะใช้มีดหมอตัดการเชื่อมต่อของวิญญาณกับโทรศัพท์ แต่ถ้าคุณท่องพลาด…” ผมปล่อยให้เธอเดาต่อเอง
พิมกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ก่อนพยักหน้า “โอเค ฉันทำได้”
เต๋าโผล่หัวออกมาจากหลังโซฟา “ถ้าเธอทำพลาดจะเกิดอะไรขึ้น?”
“วิญญาณจะหลุดเป็นอิสระ” ผมตอบอย่างร่าเริง “และคุณอาจจะตาย ไม่ต้องกดดันหรอกนะ”
เต๋าครางเบาๆ แล้วซุกตัวกลับไปหลังโซฟา “ฉันเกลียดเรื่องนี้จริงๆ”
Sponsored Ads
———————
**พิธีเริ่มต้น**
พิมนั่งขัดสมาธิต่อหน้าผ้ายันต์ สูดหายใจลึก แล้วเริ่มท่องคาถาในลำดับถอยหลัง น้ำมนต์ในมือของเธอสั่นเล็กน้อย แต่เธอไม่หยุด แม้เสียงจะสั่น แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
โทรศัพท์สั่นอย่างรุนแรง ราวกับวิญญาณรู้ตัวว่ามันกำลังจะหมดเวลา มันดิ้นรนจะหลุดจากพันธนาการของสายสิญจน์ แต่สายสิญจน์ยิ่งเปล่งแสงสว่างขึ้นตามทุกคำที่พิมท่อง
“เกือบเสร็จแล้ว” ผมพึมพำ ขณะที่กำมีดหมอแน่น เตรียมจะตัดการเชื่อมต่อทันทีที่คำสาปคลายออก
เมื่อพิม รินน้ำมนต์ลงบนโทรศัพท์ สัญลักษณ์บนผ้ายันต์ก็เปล่งประกายสว่างวาบ ส่องแสงลึกลับทั่วห้อง พลังงานในอากาศหนาแน่นขึ้น ขณะที่วิญญาณกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง ดิ้นรนครั้งสุดท้ายในพันธนาการของมัน
———————
**การดิ้นรนครั้งสุดท้าย**
ตัวเลขนับถอยหลังบนโทรศัพท์ต้องคำสาป เหลือ 00:00:03 และทุกอย่างก็ พังทลายลง ผ้ายันต์กระตุก เปล่งแสงสว่างวาบเพียงชั่วครู่ ราวกับพยายามต่อสู้เพื่อกักวิญญาณไว้ แต่วิญญาณทนรอไม่ไหวอีกต่อไป ด้วยเสียงกรีดร้องแหลมสูง เส้นแสงคมกริบพุ่งออกมาจากโทรศัพท์ เนื้อผ้ายันต์เริ่มไหม้เกรียม ขณะที่แส้หนวดเงาดำพวยพุ่งออกมา หมุนวนในอากาศราวกับพายุไฟฟ้าที่เกิดจากเงามืด
พิมกรีดร้อง เต๋ากระโดดกลับไปหลบหลังโซฟาอีกครั้ง ส่วนผมอยู่ในช่วงของการไตร่ตรองตนเองแวบหนึ่ง ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า เช้าวันนี้น่าจะนอนต่ออยู่บนเตียงดีกว่า
“ตั้งสติไว้!” ผมตะโกน พลางกำควายธนูแน่น และภาวนาเบาๆ มันเปล่งแสงทองสุกสว่าง ขณะที่วิญญาณควายธนูเริ่มคำรามขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้วิญญาณไม่ได้เล่นอย่างยุติธรรม มันฟาดฟันด้วยทุกสิ่งที่มันมี มันปล่อยหนวดเงาพุ่งเข้าใส่เต๋าและพิมอย่างรวดเร็ว
“ไม่วันนี้ล่ะน่า!” ผมพึมพำ ก่อนจะขว้างมีดหมอขึ้นกลางอากาศและจับมันในทันที ผมฟันแส้หนวดเงา ในเสี้ยววินาทีก่อนที่มันจะคว้าเงาของเต๋าไว้ได้ เงามันกลับเข้าที่เดิม พร้อมด้วยเสียงฟู่เบาๆ และเต๋าทรุดลงกับพื้น หายใจหอบหนัก
“เราตายยัง?” เต๋าครางเสียงแผ่วจากพื้น
“ยัง” ผมตอบพลางก้าวไปข้างหน้า วิญญาณหมุนวนรอบห้องอย่างเกรี้ยวกราด พยายามรวมตัวใหม่ ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วฟาดมันลงบนผ้ายันต์อีกครั้ง
“พิม!” ผมตะโกน “จบพิธีเดี๋ยวนี้เลย!”
มือพิมสั่น แต่เธอก็สามารถรดน้ำมนต์ที่เหลือลงบนโทรศัพท์และท่องคำสุดท้ายของคาถาจนจบ สัญลักษณ์บนผ้ายันต์ส่องแสงวาบเป็นครั้งสุดท้าย กักวิญญาณกลับเข้าไปในโทรศัพท์อีกครั้งด้วยเสียงฟู่ที่น่าขนลุก
โทรศัพท์สั่นเบาๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นอีกครั้งแล้วก็เงียบไป
Sponsored Ads
———————
**หลังเหตุการณ์**
ห้องกลับมาเงียบสงบ อุณหภูมิสูงขึ้น และ วิญญาณหายไป มันถูกปิดผนึกกลับเข้าไปในโทรศัพท์อีกครั้ง อย่างน้อย… ก็ในตอนนี้
ผมถอนหายใจยาว และวางมีดหมอไว้บนโต๊ะ เต๋าและพิมจ้องผมด้วยใบหน้าซีดเผือด หายใจหอบอย่างเหนื่อยอ่อน
“โอเค” ผมพูดพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ “สนุกดีใช่ไหม?”
———————
**หมัดเด็ดส่งท้าย**
ผมหยิบโทรศัพท์ต้องคำสาปขึ้นมา พลิกดูอย่างพิจารณา หน้าจอแตกร้าว แบตเตอรี่พัง และเอาจริงๆ ดูแล้ว มันใกล้จะได้พักในบ้านพักเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าเต็มที
ผมเหลือบมองเต๋าพร้อมรอยยิ้ม “ส่วนเรื่องค่าซ่อม… 1,500 บาทนะ รับเป็นเงินสด”
เต๋ากะพริบตาปริบๆ “พูดจริงเหรอ?”
“ฟังนะ” ผมพูด พลางยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋า “คุณเรียกวิญญาณมาเล่นงานตัวเอง ทำลายโทรศัพท์ของคุณเอง คุณเกือบโดนสิง และทำให้ผมต้องเอามีดหมอออกมาใช้ 1,500 บาทนี่คือราคาลดแล้ว คุณโชคดีนะที่ผมไม่คิดค่าชดเชยความเครียดด้วย”
พิมหลุดขำออกมาเบาๆ ขณะที่เต๋าครางออกมาก้มหน้าซุกลงกับโซฟา “นี่เป็นวันที่แย่ที่สุดในชีวิตฉัน”
“ให้กำลังใจหน่อยสิ” ผมพูด พลางสะพายกระเป๋า “อย่างน้อยคุณก็ยังไม่ตายใช่ไหม? ผมถือว่านั่นเป็นชัยชนะแล้วล่ะ”
———————
**น่าตื่นเต้น**
ขณะที่ผมเดินไปที่ประตูโทรศัพท์ต้องคำสาปในกระเป๋า สั่นเบาๆ เป็นครั้งสุดท้าย เสียงสั่นนั้นเต็มไปด้วยลางร้าย ผมก้มลงมอง มันทำให้หัวใจผมสะดุดไปหนึ่งจังหวะ การแจ้งเตือนใหม่ ปรากฏบนหน้าจอที่แตกร้าว เปล่งแสงจางๆ ใต้ขอบผ้ายันต์
[แล้วเจอกันใหม่”]
ผมครางออกมาเบาๆ “แน่นอนอยู่แล้ว” เพราะในกรุงเทพฯไม่มีคำสาปไหนที่ถูกทำลายได้จริงๆ
“เข้าใจละ” ผมพึมพำ ขณะยัดโทรศัพท์ให้ลึกลงไปในกระเป๋า “แล้วผมจะบวกเพิ่มอีก 500 บาทในบิลด้วย”