แสงยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างที่แตกร้าวราวกับข่าวลือ ไม่ใช่คำสัญญา จาง ซีด และเย็นเกินไปสำหรับกรุงเทพฯ หรือ กรุงเทพฯ อภิวัฒน์หรืออะไรก็ตามที่เราควรจะเรียกมันตอนนี้
Sponsored Ads
ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม พื้นผิวราคาถูกชนท่อนแขนตรงรอยบิ่นเหมือนจงใจ สมุดโน้ตเปิดอยู่ ปากกาลูกลื่นหมุนอยู่ในมืออย่างไร้ทิศทาง ลาเต้นอนขดอยู่บนขอบหน้าต่าง เปิดตาข้างหนึ่งขึ้นมาช้า ๆ เหมือนจะบอกว่า ขอให้เล่าอะไรที่มีค่า เพราะฉันจะไม่ตื่นมาเพื่ออะไรน้อยกว่านั้น
แฟ้มงานจากศักดินาเรคคอร์ดวางอยู่ข้างตัว “เทพนิยาย เจ้าชาย เจ้าหญิง”
แนบไฟล์: ศิลปินหน้าใหม่, ภาพนิ่งในเดรสลูกไม้, ยิ้มฝืนที่ผ่านการรีทัช ฉันเคาะปากกากับขอบกระดาษ หนึ่งครั้ง สองครั้ง ก่อนจะเริ่มขีดอะไรบางอย่างลงไปบนเส้นครึ่งบรรทัดที่เหมือนพยาธิสภาพของอุตสาหกรรม
🎶 “เนิ่นนานที่ฉันยังแปลกใจ เหตุใดเจ้าหญิงต้องรอเจ้าชาย…” 🎶
คำมันไหลลงหน้ากระดาษเหมือนรู้ทางไปก่อนฉัน มันไม่ใช่แค่เนื้อเพลง มันคือคำถาม
ทำไมเธอต้องรอ?
ทำไมพวกเราต้องรอ?
ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง เมืองขยับตัวเหมือนคนเพิ่งฟื้นจากฝันร้าย แล้วก็โน้มหน้ากลับมา
🎶 “แล้ววันหนึ่ง ตัวฉันได้มีโอกาสได้เดินเข้าไป ข้างในปราสาทที่มีเจ้าหญิง ถูกขังอยู่บนหอคอย…” 🎶
บางอย่างในอกฉันเริ่มปีนขึ้นมาช้า ๆ—ไม่ใช่อารมณ์ซึ้ง แต่เป็นกล้ามเนื้อที่ขมวดแน่น มันไม่ควรเจ็บ แต่มันเจ็บ ฉันเขียนต่อ
🎶 “ด้วยเวทย์มนต์ที่เหมือนไม่มีเหตุผล ของใครสักคน และต้องทุกข์ทน…” 🎶
มันควรจะเป็นเพลงขายง่าย เพลงโปร่งใส เพลงที่นักข่าวจะเอาไปรวมไว้ใน “10 เพลงที่ให้พลังใจ” แต่มือของฉันไม่ฟังใครเลย
🎶 “จนกว่าที่จะมีใคร ใครสักคน ต้องทนอีกนานแค่ไหน…” 🎶
ฉันวางปากกา รู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวลดลงเล็กน้อย หรือแค่ฉันที่หายใจสั้นกว่าเดิม ลาเต้ขยับตัวเบา ๆ หางสะบัดเหมือนเซ็นเซอร์ของสัจธรรม เขาไม่สน ไม่ตัดสิน แต่ก็ไม่ละสายตา
🎶 “แล้ววันหนึ่งก็มีเจ้าชาย ที่ไม่เกรงกลัวกับอันตราย กวัดแกว่างดาบคู่กาย
หมายจะทำลายคำสาป…” 🎶
ทำนองเริ่มร้อยตัวขึ้นในหัว ไม่ใช่เมโลดี้ของฮีโร่ แต่เป็นเสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่รออีกต่อไป เธอไม่ได้หนี เธอแค่ไม่ยอมอยู่เฉย ๆ
บางที เพลงนี้…อาจเป็นของฉันเองด้วย
🎶 “เจ้าหญิงรอคอยเจ้าชายอยู่บนนี้ รอคอยเจ้าชายมาเนิ่นนานเต็มที วันนี้จะเป็นวันสุดท้าย…” 🎶
เสียงปากกาขีดกับกระดาษ เสียงพัดลมหมุนติ๊กเบา ๆ เหนือหัว เสียงลมหายใจของเมืองข้างนอก
ข้างหลังฉัน ลาเต้ส่งเสียงฮึดฮัดเบา ๆ เหมือนจะบอกว่า อืม ฉันได้ยินแล้ว แต่ไม่รับรองอะไรทั้งนั้น
ฉันยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นเพลงแบบที่พวกเขา “ต้องการ” หรือเปล่า แต่ฉันรู้ว่านี่คือเรื่องเดียว ที่ฉัน ต้อง เล่า และสำหรับเช้านี้…แค่นั้นก็พอ
Sponsored Ads
———————
สัญญาที่ลบชื่อคนออก
เครื่องแฟกซ์ในห้องซักผ้าชั้นล่างกระแอมออกมาหนึ่งที แล้วค่อย ๆ คายกระดาษออกมาเหมือนกลัวจะโดนด่า
ฉันดึงแผ่นกระดาษออกมา ปลายนิ้วไล้ไปตามขอบที่ม้วนงอ กระดาษบางแบบที่ถ้าหายใจแรงไปนิดเดียว หมึกก็จะเละเหมือนอารมณ์หลังจากการประชุมเช้าวันจันทร์ หมึกสีดำแผ่ซึมเข้าเส้นใยกระดาษอย่างรู้หน้าที่ แบบที่รู้ว่าตัวเองไม่ควรจะอยู่ตรงนี้นาน
หัวกระดาษขึ้นชื่อชัดเจน
“ข้อตกลงการพัฒนาเพลงและลิขสิทธิ์– Sakdina Entertainment Group”
ฉันนั่งลง เก้าอี้ทำเสียงครืดแบบที่บอกว่ามันก็เหนื่อยเหมือนกัน อากาศจากหน้าต่างคลานมาตามพื้น มันเย็นแบบที่ไม่รู้จะพูดยังไงดี แค่รู้ว่ามันไม่ได้อยู่ข้างฉัน
บรรทัดแรกของสัญญาเหมือนกำลังพยายามจะยิ้ม
“ศิลปิน ต่อไปนี้จะเรียกว่านักแต่งเพลง…”
แล้วก็มีดก็หั่นลงมา
ค่าจ้างผู้แต่งเพลงแบบครั้งเดียว: ฿8,500
ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์: 1.25% จากรายได้สุทธิหลังหักต้นทุน
โอนลิขสิทธิ์ทั้งหมดให้กับศักดินาเรคคอร์ด
การใส่ชื่อเครดิตขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของค่าย
“ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ”
แปลว่า: อาจจะมีชื่อ ถ้าเขานึกออกตอนทำ Artwork หรือถ้าโปรแกรมลงเทมเพลตไม่ลืมชื่อฉันไว้ข้างนอก ถ้ามีพื้นที่เหลือ ถ้าฉันโชคดี ถ้าหางฟอนต์ยังว่างอยู่
ฉันควรจะเดาได้ ควรรู้ตั้งแต่ตอนที่ตอบตกลง แต่ตอนนั้นฉันแค่หิว… และเงิน 8,500 มันดูเหมือนคำตอบ ตอนนี้มันดูเหมือนคำถาม
เสียงพี่ต้นที่เคยลอยมาในสายโทรศัพท์แห้ง ๆ ดังขึ้นในหัว
“เขาจ่ายให้เราแต่งเพลงนะ แต่เราไม่ได้แต่งชีวิตเราเองหรอก”
พวกเขาไม่ใช่โจร พวกเขาแค่คนที่วางระบบ ระบบที่ให้คุณเฉือนตัวเองชิ้นละ 16 บาร์ ใส่แฟ้ม A4 แล้วเรียกมันว่า “โอกาส”
ฉันมองตัวเลข: ฿8,500 พอจ่ายค่าเช่า พอจ่ายค่าอาหาร พอให้ลาเต้ได้กินทรายเต้าหู้ที่ไม่ทำให้เท้าเขาคัน แต่พอจะลบฉันออกจากเพลง ที่อาจจะอยู่บนโลกนี้ไปอีกนาน—นานกว่าชื่อฉันจะอยู่ในความทรงจำของใคร
ฉันนั่งมองช่องว่างที่เขาเว้นไว้ให้เซ็น มันนิ่งมาก นิ่งแบบที่ทำให้ฉันไม่แน่ใจว่ามันกำลังรอ… หรือแค่รู้ว่า สุดท้ายฉันจะเซ็น
ลาเต้ขยับตัว โขกหัวเบา ๆ กับกระจกหน้าต่าง เหมือนจะบอกว่า ไม่ต้องเซ็นตอนนี้ก็ได้หรอก… ถ้าเซ็นไปแล้วมันจะหลับตาไม่ลง
บางทีเขาก็รู้ บางทีเขาก็แค่หิว แต่ไม่ว่าอย่างไหน ฉันก็ยังไม่เซ็น ไม่ใช่เพราะฉันกล้า
แค่เพราะตอนนี้ ฉันยังอยากมีตัวตน อย่างน้อย…ในอีกบรรทัดหนึ่ง
Sponsored Ads
———————
คำพูดสุภาพ ใบมีดคม
กลิ่นใน Starbean เหมือนกาแฟไหม้กับวานิลลาปลอม กลิ่นแบบที่ติดเสื้อแจ็กเก็ตแม้เดินออกจากร้านมาแล้วชั่วโมงหนึ่ง เป็นกลิ่นที่ย้ำเตือนว่า แม้แต่ร้านราคาถูกก็ยังอยากรู้สึก “ถาวร”
ฉันเลือกโต๊ะติดหน้าต่าง โต๊ะที่ขาเบี้ยวเพราะขาดสกรูหนึ่งตัว ลาเต้คงจะปีนขึ้นไปนอนเป็นก้อนขนมปังด้วยสีหน้าเอือม ๆ ถ้าเขาได้โอกาส แต่วันนี้ เขานอนอยู่ในหัวฉันแทน เป็นแรงกดแผ่วๆ ระหว่างซี่โครง ท้าทายฉันไม่ให้ยอมล้ม
ดุจดาวมาตรงเวลาพอดี สีหน้าเรียบเฉยแบบเดิมที่เธอมักใส่มาเสมอ เหมือนเกราะบาง ๆ ที่เย็บขึ้นจากผ้าไหมกับความแน่ใจ เธอเลื่อนตัวนั่งลงตรงข้ามฉันโดยไม่ขยับอะไร นอกจากสายกระเป๋าสะพาย
เราคุยกันเรื่องทั่วไปก่อน เรื่องอากาศ รถติด กลิ่นประหลาด ๆ จากคลองที่อยู่ถัดไปสองซอย ไม่มีอะไรสำคัญ แต่ทุกอย่างก็จำเป็น
จากนั้นฉันกระแอมเบา ๆ
“เรื่องค่าตอบแทนน่ะครับ…” ฉันเริ่ม พยายามให้เสียงดูสบายๆ “ผมคิดว่า ฿8,500 มันอาจน้อยไปนิดหนึ่ง สำหรับงานที่ใช้ทั้งเพลงทั้งภาพ”
ไม่ได้ท้าทาย แค่ข้อเท็จจริง ถูกปล่อยออกไปกลางโต๊ะ เหมือนเรือกระดาษลอยอยู่บนผิวน้ำที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรนิ่งหรือคลื่น
ดุจดาวเอียงคอนิดหนึ่ง เลิกคิ้วข้างเดียว แต่เธอไม่ตอบโต้ ไม่แค่นเสียงหัวเราะ
เธอแค่จิบกาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาล แล้วพูดว่า
“ค่ายไม่เคยให้มากกว่านี้กับนักแต่งหน้าใหม่…แต่ถ้าเพลงทำได้ดี ก็ค่อยขึ้นอีก”
บทพูดมาตรฐาน ยังไม่มีคมมีด แค่ข้อเท็จจริงขัดเงา ที่ถ้าคุณพิงแรงเกินไป ก็อาจช้ำเอง
ฉันพยักหน้าช้า ๆ ซื้อเวลาสองสามวินาที ก่อนจะพับมือวางบนโต๊ะ เหมือนคนกำลังยื่นอะไรออกไปโดยไม่ต้องคุกเข่า
“งั้น…อย่างน้อย ฿12,000 ได้ไหมครับ — เพื่อรวมต้นฉบับเต็ม และ concept draft ที่ผมส่งไปด้วย?”
น้ำเสียงของฉันไม่มีคำขอโทษ ไม่มีการเล่นเกม มีแค่…ข้อเสนอแผ่วเบา ว่าความพยายามก็ควรมีน้ำหนักของมัน
ดุจดาวมองฉันผ่านขอบแก้วกาแฟ พิจารณา ไม่เย็นชา แต่ก็ยังไม่เชื่อทั้งหมด
สุดท้าย เธอวางแก้วลง เสียงเบาเหมือนปิดฉากอะไรบางอย่าง
“ฉันเข้าใจ…” เธอพูด เสียงยังเรียบอยู่ แต่เบาลงครึ่งระดับ “ฉันจะเอากลับไปคุยกับค่ายให้”
ไม่ใช่คำว่าใช่ แต่ก็ไม่ใช่คำว่าไม่ มันเพียงพอแล้ว
ฉันพยักหน้า รู้สึกอะไรบางอย่างในตัวฉันวางตัวลง ไม่ใช่ชัยชนะ แต่เป็นเสียงเล็ก ๆ เหมือนด้ายรุ่ยที่เพิ่งหาทางกลับเข้ารอยตะเข็บเจอ
ขณะที่บทสนทนาเปลี่ยนกลับไปเป็นเรื่องตารางเวลา และการอนุมัติเนื้อเพลง
ฉันก็คิดขึ้นมา บางที ศักดิ์ศรีไม่ได้มาจากการชนะสงครามใหญ่ แต่มันถูกก่อขึ้นจากช่วงเวลานิ่ง ๆ แบบนี้ เล็ก มั่นคง และดื้อเงียบ
นอกหน้าต่างร้าน แสงบ่ายปลายวันไหลท่วมทางเท้าที่แตกร้าว อ่อนโยน แต่ชัดเจน เหมือนสิ่งที่ฉันควรเป็น
Sponsored Ads
———————
ลาเต้และหน้าว่าง
ตอนที่ฉันกลับถึงห้อง เมืองก็พับตัวเองกลับไปกลายเป็นเมืองเล็กๆ อีกครั้ง แสงไฟสลัว เสียงสะท้อนกลวง ๆ ไอเสียกลายเป็นหมอกบาง
ฉันวางกระเป๋าไว้ข้างประตู แล้วก็เห็นลาเต้ ยึดโต๊ะทำงานของฉันไปเรียบร้อยแล้ว โหมดขนมปังเต็มรูปแบบ นอนแผ่เต็มแผ่นกระดาษว่างที่ดื้อรั้นเหมือนตัวมันเอง
ฉันวางกระเป๋าตังค์ แล้วโน้มตัวไปเหนือเขา “ขอหน่อยครับพี่แมว”
เขาไม่ขยับแค่เปิดตาทองขึ้นข้างเดียว สะบัดหางแบบว่า นี่คือสิ่งที่ไร้เหตุผลที่สุดที่เคยได้ยิน แล้วก็ขดตัวใหม่ หนักกว่าเดิมอย่างน่าประหลาด
ฉันดึงกระดาษออกจากใต้เขาเล็กน้อย ระวังไม่ให้ไปรบกวนส่วนอื่นของพระองค์ ปากกาวางอยู่ตรงที่เดิมที่ฉันทิ้งไว้ตั้งแต่เช้า พลาสติกถูก ๆ หัวขูด ๆ เหมาะมากสำหรับทำลายไอเดียดี ๆ
สัญญายังพับอยู่ในกระเป๋า ยังไม่ถูกเปิดอีกครั้ง ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ฉันมองกระดาษว่าง แล้วก็มองลาเต้ ตรงระหว่างสองสิ่งนั้น อะไรบางอย่างก็ดื้อดึงขึ้นมาใหม่ ฉันเปิดฝาปากกาและเริ่มเขียนโดยไม่คิดอะไร คำมันไหลออกมา ช้าๆ กระท่อนกระแท่น
เหมือนจังหวะกลองที่ยังไม่สมดุล
🎶 “เจ้าชายรูปงามไม่กลัวปีศาจร้าย มีทั้งกายและใจที่เข้มแข็ง ปีศาจร้ายกำลังเริ่มอ่อนแรง ถูกแทงเข้าตรงกลางหัวใจ” 🎶
ฉันหยุด เสียงขีดของปากกาเต็มห้อง ดังกว่าที่ควรจะเป็น ลาเต้หาวอย่างโอเวอร์ อวดเขี้ยวเดี่ยวที่ขาวสะอาดแบบไร้เหตุผล ข้างนอกมีคนเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์แรงเกินไปในซอยสุขุมวิท 24 เสียงมันทำให้บานกระจกหน้าต่างสั่นกรอบแกรบ
ฉันกดปากกาแน่นขึ้น หาเส้นถัดไปจากเศษซากของความคิด
🎶 “เจ้าหญิงตะโกนเธอรออยู่บนนี้ เจ้าชายแหงนมองขึ้นมาในทันใด ปีศาจร้ายยังไม่ทันจะสิ้นใจ ลอบทำร้ายเจ้าชายในทันใด” 🎶
ฉันเอนตัวพิงพนัก เก้าอี้เก่า ๆ ส่งเสียงเอี๊ยด มองลาเต้ค่อย ๆ กระพริบตาใส่ลายมือยุ่ง ๆ ที่เพิ่งเขียนไป
“ไม่ต้องเป็นเจ้าหญิงก็ได้เนอะ” ฉันพึมพำ
แน่นอนว่าเขาไม่ตอบ แค่ขยับตัวนิดเดียว พอให้เอาอุ้งเท้าหนัก ๆ ปะลงมุมหน้ากระดาษ เหมือนลายเซ็น หรือไม่ก็คำท้า
ฉันปล่อยให้ช่วงเวลานั้นนิ่งอยู่ ไม่ต้องรีบ ไม่มีเส้นตาย แค่เด็กคนหนึ่ง กับแมวหนึ่งตัว โต๊ะไม้ถูก ๆ และบทเพลงที่ยังไม่เสร็จ ที่เขียนขึ้นมาเพื่อใครก็ไม่รู้—นอกจากตัวเอง
โต๊ะส่งกลิ่นหมึกถูก ๆ กับกลิ่นกาแฟ ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นนาน ปล่อยให้ปากกาหลุดลื่นไปมาระหว่างนิ้ว มองดูเนื้อเพลงที่ยังไม่เสร็จอยู่บนหน้ากระดาษ
ลาเต้ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน ลากมุมสัญญาศักดินาเข้ามาใต้ฝ่าเท้าของเขาจนกระดาษบิดงอเหมือนของที่ถูกลืมได้ง่าย เขาไม่แม้แต่จะแสดงสีหน้าสะใจ แค่นอนทับให้หนักขึ้น
เหมือนแรงโน้มถ่วงตัดสินใจเลือกเขาเป็นที่โปรดคนใหม่
🎶 “เจ้าหญิงนิ่งไปในทันใด เจ้าหญิงจะทำอย่างไรต่อจากนี้ เจ้าหญิงจะทำอย่างไรต่อไปดี เมื่อไม่มีเจ้าชาย” 🎶
ฉันถอนหายใจออกช้า ๆ ไม่ใช่เหนื่อย—หรือไม่ใช่แค่เหนื่อย มันเป็นอย่างอื่น เงียบกว่า
ฉันไม่ได้แค่ “เอาตัวรอด” อีกแล้ว ฉันกำลังสร้างบางอย่างขึ้นมา แม้มันจะเละเทะ แม้มันจะเต็มไปด้วยความฝันที่พันไว้ด้วยเทปพันสายไฟ กระดาษขีดข่วน กับเดดไลน์ที่ยังไม่มีใครยอมจ่ายเงินให้
แต่มันเป็นของฉัน ฉันก้มดูรอยขีดเขียนบนกระดาษ นึกถึงนิทานที่เราชอบเล่าให้ เด็กผู้หญิงฟัง เกี่ยวกับหอคอย เกี่ยกับเจ้าชายกับดาบ กับการรอคอย
แต่ว่า…บางทีมันอาจจะเป็นแบบนี้มากกว่า
🎶 “เจ้าหญิงจะไม่รอคอยเจ้าชายแล้ว จะไม่รอคอยอยู่บนนี้ จะข้ามกำแพงเพื่อจะไปหา เจ้าหญิงกำลังจะไปหา กำลังจะเดินทางข้ามนภา ไปหาเจ้าชาย” 🎶
มันไม่ใช่นิทานที่สมบูรณ์แบบ แต่บางที มันไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์ก็ได้ มันไม่เรียบร้อย ไม่คล้องจอง ไม่มีทางได้รางวัล “เพลงความหวังยอดเยี่ยมประจำปี 2001” จากโปรดิวเซอร์คนไหนทั้งนั้น
แต่มันเป็นของฉัน อิสรภาพแบบที่ซื้อไม่ได้ แบบที่ไม่มีใครยื่นให้ แบบที่ต้องแลกมาด้วยการไหลเลือดผ่านความเงียบที่สุภาพเกินไปนานเกินไป
ลาเต้แตะกรงเล็บลงบนโต๊ะเบา ๆ แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก เป็นเสียงเคาะที่ใกล้เคียงกับจังหวะกลองที่สุด ที่ฉันจะได้ยินแบบไม่ต้องจ่ายเงิน ฉันปิดสมุดโน้ตลงเบา ๆ
เมืองข้างนอกส่องแสงกระพริบ ส่งเสียงหวิว ๆ เหมือนสัตว์ที่เหนื่อยล้า ที่พยายามจะปลุกตัวเองให้ลุกขึ้น ป้ายไฟนีออนกระพริบแบบไม่มั่นใจ มอเตอร์ไซค์คำรามอยู่ในตรอกไกล ๆ ที่ไหนสักแห่ง มีใครจุดประทัดช้าไปหนึ่งสัปดาห์
ฉันเอนตัว มองออกไปนอกหน้าต่างที่แตกร้าว ไม่มีแสงไฟบนเวที ไม่มีเสียงปรบมือ มีแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่กำลังเดินต่อไป
และบางที… บางทีนั่นแหละ คือนิทานเรื่องเดียว ที่เคยสำคัญจริงๆ
ลาเต้ยืดขาหนึ่งพาดข้ามสัญญาที่ถูกทิ้ง แล้วก็ส่งเสียงครางเบา ๆ เบาจนฟังเหมือนกระดาษฉีก ห้องรอบตัวเขานิ่งลง เก่า กะพริบ ครึ่งหลับครึ่งตื่น และไม่รู้ยังไง แค่นั้น มันก็มากพอแล้ว
Sponsored Ads
Blissonic