ลำโพงหลอนวางอยู่บนโต๊ะทำงานของผม เหมือนระเบิดที่พร้อมจะปะทุ สายสิญจน์พันไว้แน่นหนา แต่พลังงานที่แผ่ออกมาจากมันทำให้บรรยากาศในร้านเต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้ว่ามันจะถูกถอดปลั๊ก แต่เสียงฮัมเบา ๆ ของบทสวดที่น่าขนลุกยังคงดังก้องอยู่ในหัวของผม
Sponsored Ads
ธนาเดินวนไปวนมาด้านหลังผม กำโทรศัพท์ไว้แน่นด้วยความประหม่า “นายแน่ใจเหรอว่ามันจะไม่…ระเบิดหรืออะไรแบบนั้น?”
“ไม่แน่ใจ” ผมตอบเสียงเรียบ พลางก้มหน้าก้มตาดูตัวเครื่อง “แต่ถ้ามันระเบิด นายจะเป็นคนแรกที่รู้”
“ฟังแล้วรู้สึกอุ่นใจจริง ๆ” ธนาพึมพำ ก่อนจะหยิบขนมมันฝรั่งจากชั้นวางขนม
ผมหยิบไขควงขึ้นมาแล้วเริ่มงัดตัวเครื่องของลำโพงออกมา ด้านในดูปกติ ไม่มีอะไรผิดปกติ—สายไฟ แบตเตอรี่ แผงวงจรทั่วไป แต่เมื่อผมตรวจดูละเอียดขึ้น แสงสะท้อนบางอย่างก็สะดุดตาผม ใต้ชั้นสีดำบางๆ มีสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนถูกแกะสลักไว้บนพลาสติก
Sponsored Ads
———————
สัญลักษณ์
นี่ไม่ใช่รอยขีดข่วนธรรมดา แต่มันเต้นระริกเบา ๆ ราวกับเส้นเลือดที่ลำเลียงพลังงานที่มองไม่เห็น
“เจอตัวการแล้ว” ผมพึมพำ
“อะไรน่ะ?” ธนาถาม พลางยื่นหน้ามาดูใกล้ ๆ
“สัญลักษณ์ มีคนสลักไว้ข้างในนี้ มันทำหน้าที่ขยายบางอย่าง—พลังงานวิญญาณ อาจจะส่งมาจากแหล่งที่อยู่ไกลออกไป” ผมค่อย ๆ ขูดสีออกเพื่อเผยให้เห็นสัญลักษณ์ที่เหลือ “อะไรก็ตามที่มันเป็น มันถูกออกแบบมาให้เกาะกับอารมณ์”
ธนาโน้มตัวเข้ามาใกล้ขึ้น จ้องมองอย่างสงสัย “นายหมายถึงมีคนสาปลำโพง? ใครมันจะทำอะไรแบบนี้?”
“คงเป็นพวกที่มีเวลาว่างมากเกินไป แล้วก็เกลียดเสียงเพลงที่ทำให้คนอารมณ์ดีล่ะมั้ง”
Sponsored Ads
———————
การยกระดับของสิ่งเหนือธรรมชาติ
ขณะที่ผมทำงาน อากาศในร้านเย็นลงเรื่อย ๆ เป็นความเย็นที่แทรกซึมลึกลงไปในกระดูก ลำโพงส่งเสียงฮัมอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่จะเป็นบทสวด กลับกลายเป็นเสียงกระซิบเบา ๆ
ตอนแรกผมไม่สนใจ คิดว่าเป็นเพราะสัญลักษณ์ที่กำลังตอบสนองต่อการแงะของผม แต่แล้วเสียงกระซิบนั้นก็เรียกเบา ๆ ว่า
[น้องเอก]
ธนาชะงักทันที ใบหน้าซีดลง “มัน…มันเรียกฉันด้วยชื่อเล่นตอนเด็กเหรอ?”
ผมหยุดมือที่กำลังหมุนไขควงค้างไว้ “ชื่อเล่นนาย?”
“ใช่ มีแต่อาม่าฉันเท่านั้นแหละที่เรียกแบบนั้น”
เสียงกระซิบเปลี่ยนไป ความถี่ของเสียงขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนวิทยุที่กำลังค้นหาคลื่น จากนั้นเสียงที่ทำให้ผมชะงักก็ดังขึ้น
[ทำไมไม่ไปหางานจริงๆ ทำล่ะ?]
ท้องของผมบีบเกร็งเมื่อเสียงของพ่อ—น้ำเสียงเดียวกับที่เขาใช้ตอนเราทะเลาะกัน—ดังขึ้นจากลำโพง ผมละจากโต๊ะทำงาน มือกำขอบโต๊ะแน่นเพื่อประคองตัวเอง
“นี่มันเล่นกับความรู้สึกเราแฮะ” ผมพึมพำ
ธนาพยายามรวบรวมสติ หัวเราะแห้ง ๆ “สุดยอดเลย ตอนนี้มันเล่นความผิดในใจเราแล้ว ต่อไปมันจะบอกเลขภาษีเราไหม?”
เสียงกระซิบจางหายไป ทิ้งความเงียบหนักอึ้งไว้ในร้าน ผมหยิบกระจกวิญญาณของผมขึ้นมา เครื่องมือกรอบทองเหลืองที่ย่าน้อยสอนให้ใช้ ผมยกมันขึ้นพร้อมสวดบทสั้น ๆ ในใจแล้วชี้ไปที่ลำโพง ภาพสะท้อนในกระจกกระเพื่อมผิดธรรมชาติ เหมือนกระจกเองก็ถูกรบกวนจากพลังงานในห้อง
สิ่งที่มันแสดงให้เห็นไม่ใช่สิ่งที่น่าโล่งใจ ภาพสะท้อนเผยให้เห็นเงาของอาคารที่ทรุดโทรมและถูกทิ้งร้าง ไกลออกไปแต่ชัดเจน แสงริบหรี่จาง ๆ ปรากฏรอบ ๆ ตัวอาคาร—สัญลักษณ์ที่ถูกวาดไว้บนกำแพง
“นี่มันไม่ค่อยน่าไว้ใจเลย” ผมพูดพลางลดกระจกลง
Sponsored Ads
———————
อารมณ์ขัน
ก่อนที่ผมจะทันคิดอะไรต่อ โทรศัพท์ของธนาก็ดังขึ้น เขามองหน้าจอก่อนจะครางออกมา “โอ๊ย ไม่เอาน่า”
“อะไรอีกล่ะ?” ผมถาม
“แม่ฉัน โทรมาบอกให้ไปตักบาตรพรุ่งนี้เช้า ประเพณีปีใหม่น่ะ” เขากระแอมก่อนเลียนเสียงแม่ตัวเองอย่างตลก “ถ้าไม่มา คืนนี้นอนนอกบ้านไปเลยนะ”
ผมหัวเราะขำ ๆ “ก็ดีนะ บางทีเธออาจจะสอนให้นายมีความรับผิดชอบบ้าง”
ธนาชูมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “ก็ได้ ฉันไปก็ได้ แต่ถ้าลำโพงนี่ร้องเพลงอีก นายต้องวิดีโอคอลให้ฉันดูด้วย”
Sponsored Ads
———————
น่าตื่นเต้น
พอธนาออกไป ร้านก็ตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด ผมจ้องลำโพงที่ถูกพันไว้อย่างแน่นหนา ดูเหมือนจะไร้พิษสง แต่สิ่งที่มันก่อไว้กลับรุนแรงเกินบรรยาย สัญลักษณ์ที่อยู่ข้างในมันยังคงกระพริบด้วยแสงริบหรี่ ราวกับรู้ว่าผมเห็นภาพสะท้อนแล้ว
อาคารที่ปรากฏในกระจกวิญญาณยังคงติดอยู่ในหัวผม ถ้าสัญลักษณ์พวกนี้ทำหน้าที่ขยายพลังงาน นั่นหมายความว่าแหล่งพลังงานที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่นี่—แต่มันอยู่ที่นั่น คนที่สาปลำโพงนี้ทิ้งร่องรอยไว้ให้ตามไปเจอสิ่งที่ใหญ่กว่านี้
“ดูเหมือนเราจะต้องออกไปเดินเล่นกันหน่อย” ผมพึมพำ หยิบอุปกรณ์ของผมขึ้นมา ลำโพงส่งเสียงหัวเราะแหบพร่าขึ้นมาเบา ๆ ขณะที่ผมบรรจุมันลงในกล่องกักกัน
“หัวเราะไปเถอะ” ผมพูดพลางรูดซิปปิดกล่อง “เราจะได้เห็นกันว่าใครจะหัวเราะครั้งสุดท้าย เมื่อฉันรู้ว่านายซ่อนอะไรไว้”
Sponsored Ads