โถงทางเดินเงียบสงัดอย่างน่าประหลาดขณะที่ผมยืนอยู่หน้ากระจกวิญญาณที่เปล่งแสงจาง ๆ เงาร่างของใครบางคนปรากฏอยู่ในนั้น คลุมเครือแต่มั่นคง ราวกับภาพวาดที่ยังไม่เสร็จ หน้าจอของล็อคส่งเสียงบี๊บสองครั้ง และเวลา 23:47:00 ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจออีกครั้ง ราวกับหัวใจที่ยังคงเต้นไม่หยุด
Sponsored Ads
เสียงของย่าน้อยดังขึ้นในความคิดของผม อบอุ่นและมั่นคง
“บางครั้ง วิญญาณก็แค่ต้องการให้ใครสักคนรับฟัง”
ผมกระชับสายสิญจน์ที่พันรอบกรอบประตู พลังงานจาง ๆ ของมันช่วยยึดผมให้นิ่งอยู่กับที่ “คุณติดอยู่ตรงนี้” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่สงบ “ผมเข้าใจนะ คุณเคยมีชีวิตอยู่ที่นี่ คุณเคยรู้สึกปลอดภัย แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้านของคุณอีกต่อไปแล้ว”
เงาร่างในกระจกหยุดนิ่ง เส้นรอบตัวเริ่มชัดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ล็อคส่งเสียงคลิกอีกครั้ง คราวนี้ดังขึ้น เหมือนกำลังประท้วงอะไรบางอย่าง
“คุณต้องไปต่อ” ผมพูดต่อ “อะไรก็ตามที่คุณยังยึดติดไว้ มันถึงเวลาที่ต้องปล่อยมันไป อาคารนี้ไม่ใช่หน้าที่ของคุณอีกแล้ว”
อากาศรอบตัวหนักขึ้น กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกมะลิแทรกเข้ามาอีกครั้ง เงาร่างในกระจกเริ่มไหววูบ เหมือนเปลวไฟที่สั่นไหวในสายลม และชั่วขณะหนึ่ง ผมคิดว่าผมเห็นใบหน้า—อ่อนโยน ใจดี และเต็มไปด้วยความเศร้าที่ท่วมท้น
ล็อคส่งเสียงบี๊ปยาวหนึ่งครั้ง หน้าจอแสดงลำดับเวลาที่ไหลผ่านไปเหมือนแสงที่สว่างวาบ
Sponsored Ads
———————
การลาจากของวิญญาณ
ล็อคเงียบสนิท หน้าจอดับและไร้ชีวิต อากาศในโถงทางเดินรู้สึกเบาสบายขึ้น ราวกับน้ำหนักที่มองไม่เห็นได้ถูกยกออกไป ผมค่อย ๆ คลายสายสิญจน์ออกแล้วม้วนเก็บอย่างระมัดระวัง คุณกรรณิกาเดินเข้ามาใกล้ ความระแวงในสายตาของเธอเปลี่ยนเป็นความสงสัยอย่างระมัดระวัง
“จบแล้วเหรอ?” เธอถาม
“ตอนนี้จบแล้ว” ผมตอบ แม้สายตาจะยังจับจ้องไปที่กระจกวิญญาณ มันอุ่นขึ้นในมือของผม และมีเงาร่างจาง ๆ ของใครบางคนยังปรากฏให้เห็น แต่ครั้งนี้ไม่ได้ติดอยู่ มันกำลังเดิน—เงาเดียวดายที่มุ่งหน้าไปตามถนนที่เงียบสงบในแสงจันทร์
“ลาก่อน” ผมกระซิบเบา ๆ เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าคนอื่น
คุณกรรณิกามองตาม แต่เธอไม่เห็นอะไร “แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“ตอนนี้” ผมพูดพลางยิ้มมุมปาก เก็บมีดหมอใส่กระเป๋า แล้วหยิบใบแจ้งหนี้ที่เขียนด้วยลายมืออย่างเรียบร้อยออกมา พลางใช้ปากกาชี้ไปที่ยอดรวม “นี่สำหรับค่าซ่อม แค่ให้รู้ไว้นะ—ยังไม่รวม VAT”
คุณกรรณิกากะพริบตาปริบ ๆ ท่าทางเหมือนกำลังชั่งใจระหว่างจะตกใจกับหัวเราะ “เดี๋ยวนะ ฉันต้องจ่ายภาษีด้วยเหรอ?”
ผมยักไหล่ “ก็ว่าไงได้ ช่างซ่อมแบบมืออาชีพก็มาพร้อมกับเอกสารแบบมืออาชีพเหมือนกัน”
เธอหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก ก่อนจะเก็บใบแจ้งหนี้ลงกระเป๋า “คุ้มทุกบาททุกสตางค์” เธอพูดพร้อมถอนหายใจโล่งอก
“รู้งี้นะ” เธอบ่นเบา ๆ น้ำเสียงกึ่งล้อเล่น “ฉันน่าจะใช้ล็อคแบบดั้งเดิมไปเลยดีกว่า”
Sponsored Ads
———————
น่าตื่นเต้น
หลังจากที่คุณกรรณิกาขอบคุณและเราแยกทางกัน ความโล่งใจแบบที่มาพร้อมกับงานที่ทำเสร็จสิ้นได้อย่างดี—หรืออย่างน้อยก็พอจะรับค่าจ้างได้—แผ่ซ่านในใจ อากาศยามค่ำคืนเย็นสบาย ซึ่งหาได้ยากในกรุงเทพฯ ผมคิดจะกลับบ้าน แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเดินทางกลับมาที่ร้านแทน
มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สำหรับผม การทำงานดึก ๆ มักทำให้จิตใจว้าวุ่น และความเงียบสงบของร้านก็ช่วยให้ผมผ่อนคลายได้เสมอ แถมยังมีความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจผม
ผมพลิกป้ายเป็น “ปิดทำการ” แล้วก้าวเข้าไปในร้าน กลิ่นคุ้นเคยของตะกั่วบัดกรีและวงจรเก่า ๆ ต้อนรับผมอย่างอบอุ่น ขณะจัดระเบียบโต๊ะทำงาน สายตาผมก็ตกไปที่แผงวงจรเล็ก ๆ ที่ถอดออกมาจากล็อคดิจิทัลก่อนหน้านี้ ผมเปลี่ยนมันออกแล้วใส่อันใหม่เข้าไปเพื่อให้ล็อคทำงานได้ตามปกติ ตั้งใจว่าจะมาตรวจสอบแผงวงจรอันเก่าในภายหลัง
ด้วยความอยากรู้ ผมหยิบแผงวงจรขึ้นมา พลางลูบไล้ไปตามพื้นผิวของมัน และนั่นคือเมื่อผมสังเกตเห็นมัน—จางแต่ตั้งใจชัดเจน เป็นข้อความที่ถูกสลักไว้ในเส้นสายของตะกั่วบัดกรี
“ทุกการลาจาก ทิ้งร่องรอยไว้เสมอ”
ผมนิ่งงันไป คำเหล่านั้นแทรกซึมเข้าสู่จิตใจผมเหมือนก้อนหินที่จมลงในน้ำ
ผมเอนหลังนั่งพิงเก้าอี้ จ้องมองแผงวงจรในมือ ความหมายของข้อความนั้นหนักหน่วงยิ่งกว่าผีใด ๆ ที่ผมเผชิญในคืนนี้
บางทีผมก็รู้สึกได้ว่านี่อาจไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้พบกับเสียงสะท้อนจากอดีตเช่นนี้
Sponsored Ads