049-เก็บเกี่ยวครั้งแรก

เก้าอี้เหล็กโยกเยกทุกครั้งที่ฉันขยับตัว ฟังดูเหมือนมันกำลังจะออกเสียงเตือน แต่จริง ๆ มันแค่แก่ ฉันไม่คิดจะเปลี่ยนมัน กาแฟที่ร้านนี้ ที่เปิดหน้าร้านครึ่งเดียวเหมือนเจ้าของลังเลจะตื่น มีรสชาติเหมือนเมล็ดกาแฟถูกต้มเอาความหวังออกไปตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อน แต่ถึงอย่างนั้น ถึงอย่างนั้น มันก็ยังเป็นกาแฟที่ดีที่สุดที่ฉันได้ดื่มมานาน
(แน่นอน ฉันไม่ได้ดื่มกาแฟดี ๆ มานาน)

Sponsored Ads

“แกกินอะไรไหม?” พี่ต้นตะโกนถาม พลางโบกเมนูเคลือบพลาสติกด้วยท่าทางของคนที่แค่อยู่นี่ให้ทันมื้อต่อไปก็พอใจแล้ว

ฉันส่ายหน้า เคาะนิ้วเบา ๆ บนโต๊ะพลาสติกสีซีด เหมือนส่งสัญญาณรหัสมอร์สกับจักรวาลให้ส่งยอดโอนมาซักที

“เดี๋ยวรออีกแป๊บนึงนะ ไอ้พี่บัญชีมันไปปริ๊นใบสรุปยอดมาให้”

อากาศต้นเดือนมกราไม่ได้หนาว แต่มันมีอะไรบางอย่างคลุมอยู่ เหมือนเมืองนี้ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเหงื่อออกหรือถอนหายใจดี

ฝั่งตรงข้ามถนน มอเตอร์ไซค์ส่งของเฉี่ยวรถเข็นขายอาหาร มีเสียงสบถตามมา ชีวิตก็ยังดำเนินต่อไปอย่างดังและปกติ ฉันมองแล้วคิดว่า…ถ้าฉันจะเป็นนักเขียนจริง ๆ ก็ควรเริ่มจากตรงนั้นได้

จากนั้น พี่ต้นก็ควักกระดาษ A4 ยับๆ ออกมาเหมือนมันคือแผนการปล้นธนาคาร แล้วยื่นให้ฉัน

“นี่ไง ส่วนแบ่งของมึง” เขายิ้มกว้างแบบคนที่ไม่คิดมากเรื่องหนี้บัตรเครดิต “ดูเอา”

ฉันโน้มตัวไปดู

รายได้รวม (Gross Revenue): 23,500 CDs × ฿300 = ฿7,050,000
หักค่าใช้จ่าย 45%
ส่วนแบ่งของศิลปิน 10%
ส่วนแบ่งของฉัน 20% จากศิลปิน = ฿75,900

ฉันกระพริบตา ตัวเลขมันไม่หลอก หรือถ้าหลอก ก็น่าเชื่อกว่ารัฐบาลมาก

“เซ็นตรงนี้เลยนะ จะได้โอนเข้าบัญชีพรุ่งนี้เช้า” พี่ต้นพูด พลางใช้ปากกาน้ำเงินราคาถูกเคาะบรรทัดเซ็นชื่อ

มือฉันชะงักนิดเดียว ไม่ใช่เพราะลังเล แค่…ไม่คุ้นกับความจริงที่ว่า เสียงที่ฉันเคยเขียนลงในสมุดที่ลาเต้เคยนอนทับ มันส่งเสียงพอให้เงินได้ยินแล้ว

ฉันเซ็นชื่อ หมึกยังไม่แห้ง แต่ความรู้สึกมันชัดพอจะเก็บไว้ได้

“เรียบร้อย” ฉันพูดเบา ๆ เหมือนบอกกับตัวเองมากกว่าคนตรงหน้า

พี่ต้นยัดเอกสารลงซองสีน้ำตาลเก่า ๆ แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ เสียงเอี๊ยดดังแบบที่ฟังดูเหมือนบทสวดเปิดพิธีลาออกจากความจน

“ซิงเกิ้ลใหม่ของวงออกกลางเดือนนี้นะ”

ฉันเงยหน้าขึ้น เขายิ้มกว้างกว่าเดิม เหมือนเพิ่งกดชนะบอสใหญ่ในเกมโดยไม่ใช้สูตรโกง

“สามเพลง ‘เหยียบดาว’, ‘จนแต่เจ๋ง’, แล้วก็ ‘แสงสุดท้ายในกรุงเทพ’”

ฉันเลิกคิ้ว “ของใหม่เหรอ?”

“เออ” เขาพยักหน้าอย่างภูมิใจ “กูกับบอลกับฝ้ายช่วยกันปั่นเนื้อเพลง ส่วนเอกกับแดงก็บิ๊วคอร์ดกันจนออกมาได้”

ฉันหัวเราะ เบาๆ และจริงจัง แปลกดีที่เสียงหัวเราะมันออกมาได้เต็มทาง ไม่สะดุดที่คอ ดีลส่วนแบ่งยังเหมือนเดิม ถ้า “แสงสุดท้ายในกรุงเทพ” ไปได้ดี ฉันก็จะได้เพิ่ม

แต่ถ้าไม่ ?

เอาน่า ฉันก็ยังมี ฿75,900 โอนเข้าบัญชีพรุ่งนี้เช้า

ที่ไหนสักแห่งในฉากหลัง วิทยุเปิดเพลงรักเก่า ๆ มีคนตะโกนขอน้ำแข็งเพิ่ม

ฉันนึกถึงลาเต้ ที่ตอนนี้น่าจะนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนโต๊ะทำงานที่บ้าน คงกำลังตัดสินใจว่าฉันจะเอาเงินไปใช้อะไรฟุ่มเฟือยอีก แน่ ๆ คือของกิน อาจจะกระเป๋าใบใหม่ และแน่ยิ่งกว่าแน่ อาหารแมวชั้นดี

“ขอบใจนะ พี่ต้น” ฉันพูดเรียบ ๆ

เขายักไหล่สบาย ๆ “แกทำของแกเองเว้ย กูก็แค่ช่วยหาทางให้มันไปถึงคนฟัง”

และคราวนี้ ฉันไม่ได้เถียง

เมืองยังส่งเสียงอยู่ข้างนอก ผนังพลาสติกของร้านก็ยังบางเหมือนเดิม แต่ตอนนั้น ในร้านกาแฟที่กาแฟรสเศร้ากว่าเพลงอกหัก ฉันนั่งนิ่งได้โดยไม่ต้องระแวง
ไม่หลง ไม่จม
อยู่ได้ และอาจจะเริ่มต้นได้จริง ๆ สักที

Sponsored Ads

———————

แผนการหนีหนี้กับทรายแมวแพง

ในธนาคาร มีกลิ่นเหมือนพลาสติกเก่าๆ กับน้ำหอมผู้ชายราคาถูก

ฉันยืนต่อแถวอยู่หลังลุงคนหนึ่งที่ใส่กางเกงขาสั้นมีกระเป๋าเยอะเกินความจำเป็น กำลังนับเหรียญใส่ถาดแบบคนที่ดูเหมือนจะซื้อความหวังขั้นต่ำสุดจากชีวิต แอร์ด้านบนส่งเสียงหึ่ง ๆ อย่างคนที่พยายามสู้กับความชื้นของมกราคมแต่ก็แพ้อย่างหมดรูป ไม่มีพรมหรู ไม่มีห้อง VIP มีแค่คนธรรมดา ๆ ที่กำลังเปลี่ยนใบเสร็จเหมือนกำลังสับไพ่โชคชะตาที่ถูกโกงไว้หมดแล้ว

ถึงคิวฉัน ฉันยื่นบัตรประชาชนยับยู่ยี่ไปอย่างมืออาชีพด้านเอกสารไม่แคร์โลก มือไม่สั่น…ก็แค่ไม่มั่นคงพอจะถ่ายภาพโฆษณาประกันชีวิตได้เท่านั้นเอง

ยอดคงเหลือ: ฿75,900 ของจริง อยู่ในบัญชีฉัน เงินที่เกิดจากเสียงฮัมครึ่งหลับครึ่งตื่น และโต๊ะที่ลาเต้เคยนอนกลิ้งจนฉันต้องรีบหยิบสมุดออกมาเขียนให้จบ

ฉันโอน ฿20,000 ตรงไปยังบัญชีของลุงเอ๋

ไม่พอจะปิดหนี้ ยังห่างไกล แต่พอจะบอกได้ว่า “ฉันยังอยู่ และฉันไม่ลืม”

พนักงานปั๊มตราเหมือนกำลังประทับตั๋วดูละครชีวิตเรื่อง “หนี้ยังไม่จบ” แล้วเลื่อนสลิปกลับมาให้ฉัน กระดาษนั้นเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน เหมือนมันก็เคยถูกใครลากผ่านหลายรบมาแล้ว แต่สำหรับฉัน มันคือเหรียญตราแห่งความพยายามเวอร์ชันคนจน

ข้างนอก อากาศเบาขึ้น หรือบางทีฉันแค่หายใจออกได้เต็มปอดเป็นครั้งแรกในรอบ…นานมาก

จุดหมายต่อไป: ปรนเปรอแมวที่ไม่เคยขอบคุณใครเลยในชีวิต

ฉันแวะซื้อกระเป๋าเป้มือสองสีกรมท่า ซีดพอให้รู้ว่าผ่านอะไรมา ซิปไม่พัง ไม่มีรอยขาด พอจะแทนใบเก่าที่เคยซ่อมด้วยเทปพันท่อสองรอบได้แล้ว

อีกไม่กี่ช่วงตึก ฉันหยิบถุงอาหารแมวแบบแห้งขึ้นมาหนึ่งถุง จากร้านชำกลิ่นผงซักฟอกผสมมะม่วงเน่าเกินพอดี ลาเต้ทำเป็นไม่ชอบสูตรนี้ แต่กินเรียบทุกครั้ง—เหมือนนักชิมที่มีศักดิ์ศรีแต่ไม่มีเหตุผล

ฉันลังเลอยู่ตรงชั้นวางทรายแมวอยู่นิดหนึ่ง แล้วหยิบถุง “ทรายเต้าหู้” แบบแพงที่เคยบอกตัวเองว่าไม่จำเป็น บางทีเขาอาจไม่รู้สึกถึงความต่าง แต่บางที…เขาก็สมควรได้มันอยู่ดี

“เอาล่ะครับพี่แมว…ตอนนี้พี่เป็นชนชั้นกลางก่อนผมแล้วนะ”

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มองจากหลังชั้นบะหมี่ ฉันยิ้มแบบแหย ๆ แล้วดันตัวเองไปยังแคชเชียร์ด้วยฟอร์มของคนเพิ่งจ่ายหนี้ แต่ยังไม่หลุดพ้นจากชะตากรรม

ระหว่างเดินกลับบ้าน กระเป๋าใบใหม่พาดบ่าข้างหนึ่ง ของในถุงแกว่งไปมาข้างลำตัวอีกด้าน ไม่มีชัยชนะ ไม่มีเพลงจบ มีแค่คำเล็ก ๆ ในใจ “อย่างน้อย นี่เป็นของฉัน”

ไม่ใช่เงินจากการยืนหลังเคาน์เตอร์ ไม่ใช่เงินที่แลกกับการไม่เป็นตัวเอง แต่มาจากคำ เพลง และจังหวะเล็ก ๆ ของชีวิตที่ฉันเลือกบันทึกไว้ในโลกใบนี้

อิสรภาพ มันยังไม่ใช่การปลดล็อกระดับ แต่มันคือการข้ามถนนโดยไม่โดนรถชน คือการมีเงินพอซื้อทรายแมวให้แมวที่ไม่เคยบอกขอบคุณ คือการแบกน้ำหนักที่เราเลือก ไม่ใช่น้ำหนักที่เลือกเรา

พอฉันไขกุญแจเข้าห้อง แสงแดดตอนเย็นก็พาดตัวผ่านพื้นแตกร้าวเป็นเส้นยาว ๆ ลาเต้เกลือกตัวอยู่บนขอบหน้าต่าง นิ่งจนดูเหมือนหมอนราคาแพงจากห้างกลางเมือง

เขาเปิดตาข้างหนึ่ง ดมถุงของ แล้วหลับตาลงอีกครั้งอย่างไม่ใยดี บางอย่างในโลกนี้ ที่สำคัญจริง ๆ ไม่ต้องการพิธีรีตอง

ฉันวางถุง วางกุญแจ แล้วก็วางตัวเองลงบนเก้าอี้

แล้วยิ้มออกมา เล็ก ๆ โง่ ๆ จริง ๆ

Sponsored Ads

———————

ข้อเสนอใหม่

โทรศัพท์ดังขึ้นพอดีกับตอนที่ฉันกำลังลอกสติ๊กเกอร์ราคาออกจากกระเป๋าเป้มือสอง
ลาเต้นอนเป็นก้อนอยู่ตรงมุมห้อง ข้างถุงทรายเต้าหู้ขนาดยักษ์ของเขา ไม่แม้แต่จะกระพริบตา บางทีเขาก็รู้แล้ว แบบที่แมวมักรู้เสมอว่าไม่มีข่าวดีไหนมาถึงโดยไม่มีเงาของมันเองตามมาด้วย

ฉันรับสายตอนกริ่งที่สอง “สวัสดีครับพี่ดุจดาว” ฉันพูด พยายามให้เสียงฟังดูตื่นตัวกว่าความเป็นจริง

แต่ปลายสายนั้นเรียบ คม เหมือนบรรทัดในสัญญา “ว่างไหมคะกรณ์? ขอเจอคุยเรื่องนึงหน่อยที่ ‘Starbean’ เดิม” ไม่มีคำเกิน ไม่มีรอยยิ้มผ่านโทรศัพท์

“ครับ” ฉันตอบทันที ฉันคว้าแจ็กเก็ตโดยไม่ให้ตัวเองมีเวลาลังเล

ร้านกาแฟยังเหมือนเดิม เก้าอี้ยังเอนไม่สมดุล หนังสือแมกกาซีนศิลปะยังมีฝุ่น เสียงช้อนกระทบถ้วยยังดังพอจะทำให้ทุกอย่างดูสำคัญกว่าความจริง

ดุจดาวนั่งรออยู่แล้ว โน้ตบุ๊กเปิดอยู่แต่ถูกเลื่อนออกข้างไป เป็นสัญญาณว่า นี่ไม่ใช่ “นี่ไม่ใช่งานเอกสาร นี่คือหมากตัวหนึ่ง”

“ศักดินาเรคคอร์ดอยากให้น้องใหม่ของเขามีเพลงเปิดตัว…อยากได้แนวแข็งแรงแต่หวาน ฟังแล้วทั้งเก่งทั้งน่ารัก” เธอพูดในจังหวะของคนที่ไม่ขออนุญาต…แค่แจ้งให้ทราบ

ฉันพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้จดอะไร แค่ปล่อยให้น้ำหนักของคำเธอกดลงบนอกช้า ๆ

A Little Princess, ฉันคิด แบบที่ฟังแล้วรักได้โดยไม่ต้องเสี่ยง แบบที่โปรดิวเซอร์จะวางใกล้โลโก้แบรนด์รองเท้าโดยไม่กระพริบตา

ฉันกระแอม ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“แล้วนักร้องใหม่เขาถนัดร้องคีย์ไหนครับ?”

น้ำหนักของคำถามนั้น เหมือนทดสอบว่าเราจะร่วมมือหรือท้าทาย

ดุจดาวยิ้มบาง ๆ เหมือนฉันเพิ่งผ่านแบบฝึกหัดแรกในตำรา เพลงที่ระบบต้องการ

“ส่วนใหญ่ร้องคีย์ A minor ได้สวย…ฟังดูเศร้าแต่มีกำลัง”

ฉันพยักหน้า A minor เศร้าแต่มีแรงจะลุกขึ้น ขมแต่ไม่ถ่มทิ้ง พอดีจนรู้สึกว่า…มันอาจถูกออกแบบมาเพื่อกลบทุกอย่างที่เป็นตัวฉัน

บทสนทนายังคงเรียบร้อย ไม่มีคำว่าค่าตอบแทน ไม่มีคำว่าเดดไลน์ มีแค่ “โอกาส” คำนามแวววาวที่มักจะมากับเงื่อนไขที่เขียนด้วยหมึกจาง

ฉันจิบกาแฟหมดในสามคำ ขมแบบที่จำได้ ขมแบบที่อยากให้จำไว้ ก่อนทุกอย่างจะถูกแต่งรสด้วยน้ำตาลเกินพอดี

ตอนเราลุกขึ้น ดุจดาวพูดเพียงว่า “คิดดูนะกรณ์…โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ” แต่คมกว่ามีดที่ซ่อนไว้ในซองจดหมาย

ฉันยิ้มบาง ๆ แบบอัตโนมัติ “ครับพี่”

และในใจหมายถึง

ฉันจะคิด ฉันจะคิดให้หนัก

เมื่อก้าวออกมาสู่แสงยามเย็นของมกราคมที่เริ่มโรยแรง เสียงเมืองยังคงอยู่ เบาแต่ไม่หาย รถสกู๊ตเตอร์วิ่งผ่าน ประตูเหล็กหน้าร้านสั่นราวกับโลกกำลังตัดสินใจจะเปิดหรือปิด “โอกาส” มันวางอยู่ตรงหน้า วาววับแบบเศษกระจกที่สะท้อนทั้งอนาคตและบาดนิ้ว

ข้างในตัวฉัน มีบางอย่างเริ่มขยับตัว ไม่ใช่ความกลัว ยังไม่ใช่ แค่…ระแวดระวัง เหมือนตอนที่กุญแจหมุนในกลอนประตู และเราไม่แน่ใจ ว่าอยากเข้าไปไหม

Sponsored Ads

———————

แค่ผ่าน

ถนนเริ่มบางตา ตอนที่ฉันเดินผ่านหัวมุมที่ร้าน Café Sae () ตั้งอยู่ ซึ่งซ่อนตัวเหมือนลมหายใจแผ่ว ๆ ระหว่างร้านสองร้านที่เสียงดังกว่า

ท้องฟ้าสีคล้ำลึกขึ้น สีเหมือนรอยช้ำ ถูกเย็บด้วยกลุ่มเมฆต่ำที่เก็บแสงสุดท้ายของวันไว้แบบร่อแร่ ไฟนีออนเริ่มกะพริบแบบขี้เกียจ และที่ปลายถนน มีใครบางคนกำลังทอด อะไรบางอย่างที่มีกลิ่นเหมือนมันเลิกพยายามจะเป็นอาหารไปแล้ว

ฉันควรจะเดินต่อ แต่แสงจากหน้าต่างร้านคาเฟ่ทำให้ฉันชะลอฝีเท้า

ข้างใน เซย์กำลังเช็ดเคาน์เตอร์ ช้า ๆ สม่ำเสมอและเป็นระเบียบ แบบที่คนจะเช็ดเมื่อไม่ได้เร่งรีบ ไม่ได้จะทำให้ใครประทับใจ แค่เช็ด—เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของวัน

ร้านแทบจะว่างเปล่า มีคุณลุงคนหนึ่งกำลังจิบกาแฟช้า ๆ มีคู่รักกระซิบกันเบาๆ อยู่ตรงจานขนมปังปิ้ง และมีเซย์ ก็เคลื่อนตัวผ่านทุกอย่างในร้านไปราวกับเป็นจุดนิ่งที่เสียงทั้งหลายเข้ามาไม่ถึง

แสงข้างในร้านไม่ใช่แสงขาวจ้าแบบ 7-Twelve ไม่ใช่แสงเงาวาวแบบ Starbean Coffee มันนุ่มกว่า อุ่นกว่า มันดู…จริงกว่า

ฉันยืนนิ่งอยู่นานกว่าที่ตั้งใจ มือยัดลึกลงไปในกระเป๋า เป้สะพายหลังทิ้งน้ำหนักลงบนบ่าจนรู้สึกได้

ฉันนึกถึง “บันได” หลายแบบ หลายประเภท บางอันพิงอยู่ข้างพระราชวัง บางอันถูกสร้างด้วยมือทีละขั้น หลังหน้าต่างเล็ก ๆ แบบนี้ มั่นคง เงียบ และไม่มีใครเห็น

บางที อิสรภาพจริง ๆ อาจไม่ได้มาจากการปีนเร็ว แต่มาจากการเลือกก่อน ว่าอยากจะพิงกำแพงไหนตั้งแต่แรก

ฉันไม่ได้เข้าไป ไม่ได้เคาะกระจก ไม่ได้พยายามทำให้ช่วงเวลานั้นเป็นอะไรมากกว่าที่มันเป็น

แค่ยืนดู หายใจ แล้วเก็บภาพเธอ—ภาพร้าน ภาพความเล็กที่ดื้อรั้นทั้งหมดนี้—ใส่กระเป๋าความคิดของฉันไว้เงียบ ๆ

เป็นเครื่องเตือนใจ เป็นความเป็นไปได้ เป็นโน้ตที่ทิ้งไว้เผื่อวันหน้า

ลมเริ่มพัด หอบกลิ่นน้ำมันทอดที่เหมือนกัดใส่จมูก และกลิ่นฝนยามค่ำที่ยังไม่ทันตกแต่ก็ใกล้แล้ว

ฉันกระชับแจ็กเก็ต แล้วเดินต่อ บ้านยังรออยู่ และอะไรก็ตามที่กำลังจะตามมา มันก็รออยู่เหมือนกัน

Sponsored Ads