ผมมาถึงร้านซูชิซาโต้เพียงก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับคนอย่างผม ที่ไม่ได้สนใจเรื่องอาหารเท่ากับวิญญาณที่สิงอยู่ในนั้น ผมนำทุกอย่างที่คิดว่าจะต้องใช้มา สำหรับพิธีที่เรียกว่าในใจว่า “พิธีไล่ผีเชฟแบบพิเศษ” กระเป๋าที่สะพายอยู่ข้างตัวเต็มไปด้วยชุดไล่ผีตามปกติ แต่คราวนี้มีความพิเศษมากขึ้น
Sponsored Ads
ภายในกระเป๋ามีของตั้งแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปจนถึงสิ่งที่ดูขำๆ ผมค่อยๆ หยิบออกมาอย่างละชิ้น: ผ้ายันต์, สายสิญจน์, ข้าวสารเสก, ควายธนู และแน่นอน มีดหมอคู่ใจของผม
ขณะวางแต่ละชิ้นบนเคาน์เตอร์ ผมพึมพำกับตัวเองว่า “เอาล่ะ เชฟ ถึงเวลาส่งคุณกลับไปยังครัวจักรวาลที่คุณจากมาแล้ว”
ห้องครัวเงียบสนิท แต่มีความรู้สึกหนักอึ้งในอากาศ เหมือนว่าพื้นที่นี้กำลังกลั้นหายใจ รอ สัญลักษณ์ที่จารึกไว้บนพื้นใกล้เตาดูเหมือนจะเต้นเบาๆ ราวกับรับรู้เจตนาของผม เส้นสายของสัญลักษณ์บิดเบี้ยว พลังงานมืดแผ่กระจายอยู่ทุกเส้นสาย
ผมสูดหายใจลึกๆ คลี่ผ้ายันต์วางลงบนสัญลักษณ์ และจัดวางเครื่องมือทั้งหมดไว้ด้านข้าง ผมสัมผัสได้ว่าควายธนูที่อบอุ่นอยู่ในมือ เป็นผู้พิทักษ์ที่มั่นคงท่ามกลางความหนาวเยือกเย็นจากโลกอื่น
“ลงมือกันเลย” ผมบอกกับตัวเอง และเริ่มทำพิธี
Sponsored Ads
———————
การเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย
ขณะที่ผมสวดมนต์ แสงไฟในครัวก็กระพริบ ทอดเงาที่ยาวและแปลกประหลาดไปทั่วห้อง อากาศเริ่มหนาวเย็นลง เต็มไปด้วยพลังที่รู้สึกโบราณและเกรี้ยวกราด บทสวดของผมสะท้อนเสียงก้องไปมา เพิ่มความตึงเครียดในห้องขึ้นทุกขณะ
สัญลักษณ์บนพื้นเต้นแรงขึ้น พลังงานมืดผลักดันต้านทานความพยายามของผม เหมือนว่ามันรู้ว่าผมตั้งใจจะทำลายมัน แล้วจากเงาใกล้เตา วิญญาณของเชฟเคนจิปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนกว่าเดิม ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของเขาว่างเปล่าและสิ้นหวัง
“นาวิน” เขากระซิบ น้ำเสียงของเขามีทั้งความหวังและความหวาดกลัว “โปรด…ปลดปล่อยฉัน แต่ระวัง เมื่อคุณทำแล้ว มันจะตื่นขึ้น”
ผมหยุดบทสวดไว้ชั่วคราว กำมีดหมอแน่นขึ้น “ไม่ต้องห่วง เชฟ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อตัดสินฝีมือทำอาหารของคุณ ผมมาเพื่อส่งมันกลับสู่ความว่างเปล่า”
เงาร่างของเคนจิสั่นไหว สีหน้าเขาลังเลระหว่างความโล่งใจและความกลัว “ห้วงลึก…มันได้กลืนกินฉันแล้ว มันจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เมื่อคุณทำลายสัญลักษณ์ มันจะพยายามยึดที่นี่ และยึดตัวคุณด้วย”
“เยี่ยมเลย” ผมพูดด้วยท่าทางนิ่ง “แต่ผมมีข้าวสารเสก มีควายธนู และบทสวดมากพอที่จะเขียนเป็นตำราอาหารได้”
ผมกลับมาท่องบทสวดต่อ ปล่อยให้คำพูดไหลผ่าน ขณะที่มีดหมอเคลื่อนไหววาดเป็นสัญลักษณ์ป้องกันในอากาศ ล้อมรอบสัญลักษณ์บนพื้น ข้าวสารเสกเตรียมพร้อมอยู่ในมือ รอการโปรยครั้งสุดท้าย เมื่อสัญลักษณ์เริ่มสั่นไหวใต้ผ้ายันต์ เงาในห้องลึกลง พันรอบร่างของเคนจิเหมือนต้องการผูกมัดเขาไว้ที่นี่
“พอได้แล้ว” ผมกระซิบ พร้อมเทพลังทั้งหมดลงในพิธีกรรม
สัญลักษณ์ลุกโชน พลังงานมืดระเบิดกระจายทั่วห้อง และในขณะที่สัญลักษณ์บนพื้นเริ่มแยกออกจากกัน เงาร่างสูงบิดเบี้ยวปรากฏขึ้นจากความมืด ดวงตาว่างเปล่าและมีพลังที่ดูเหมือนเก่าแก่เท่าโลก
Sponsored Ads
———————
ห้วงลึกตื่นขึ้น
ร่างเงามืดปรากฎขึ้นอยู่เหนือสัญลักษณ์ ร่างนั้นบิดเบี้ยวราวกับว่าร่างของมันถูกสร้างขึ้นมาจากความมืดเอง คลื่นความหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้ามา ทิ่มแทงราวกับว่าผมก้าวลงไปในแม่น้ำที่เย็นเฉียบ หัวใจผมเต้นระรัวเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่หนักแน่นและเก่าแก่ของสิ่งนั้นที่จับจ้องมาที่ผม มันหิวโหยยิ่งนัก
นี่มันไม่อยู่ในสูตรแน่นอน
ควายธนูในมือผมเปล่งพลังออกมา สร้างเกราะป้องกันระหว่างผมกับสิ่งมีชีวิตที่มืดมิดวิญญาณของควายธนูปรากฏขึ้นข้างๆ ผม มันเป็นร่างวิญญาณควายทองคำขนาดใหญ่ที่จ้องสิ่งมีชีวิตจากห้วงมืดโดยไม่สะทกสะท้าน พลังทั้งสองเผชิญหน้ากัน ราวกับการต่อสู้แห่งจักรวาล ปล่อยพลังที่ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือน
ผมยิ้มมุมปาก พูดพึมพำว่า “นี่สินะ ผลของการเสิร์ฟอาหารชั้นเลิศให้โลกใต้ดิน”
เงาดำนั้นส่งเสียงคำรามต่ำ ร่างของมันกระพริบวูบไหวราวกับควันขณะมันพยายามฝ่าเกราะป้องกันของควายธนู ผมรู้ว่าถ้าไม่เสร็จพิธีเร็วๆ นี้ มันจะหาทางทะลุเข้ามาจนได้ และนั่นเป็นแขกมื้อค่ำที่ผมไม่อยากเจอที่สุด
ผมกำมีดหมอแน่น แล้วแทงลงกลางสัญลักษณ์ ใบมีดผ่าทะลุผ่านลายสัญลักษณ์เหมือนกับตัดผ่านเนื้อสด เส้นสายลายสัญลักษณ์แตกกระจาย ปล่อยพลังที่สั่นสะเทือนห้องครัวทั้งห้อง
Sponsored Ads
สิ่งที่อยู่ในเงาร้องคำราม เสียงนั้นแทรกผ่านกระดูกของผม และพุ่งเข้าหาผมแต่ควายธนูสกัดกั้นสิ่งนั้นไว้ด้วยเขาของมัน ผลักดันพลังแห่งความมืดกลับด้วยพลังที่ฒั่นคงไม่สั่นคลอน พลังทั้งสองปะทะกัน พลังสีทองของควายธนูเปล่งประกายราวกับเป็นสัญญาณไฟในประภาคาร คอยควบคุมกีดกั้นสิ่งนั้นให้อยู่ห่าง ในขณะที่ผมท่องคำสวดบทสุดท้ายของพิธีกรรม
ผมโปรยข้าวสารเสกลงบนสัญลักษณ์ที่ถูกทำลาย ข้าวแต่ละเมล็ดเปล่งประกายเมื่อกระทบพื้น ผ้ายันต์เรืองแสงขึ้น อักขระบนผ้ายันต์เปล่งพลังชีวิต ผูกมัดวิญญาณนั้นกลับสู่ความมืด ขณะที่มีดหมอตัดขาดการเชื่อมโยงระหว่างมันกับโลกนี้
ร่างวิญญาณของเชฟเคนจิสั่นไหว ใบหน้าเขาดูสงบลงพร้อมกับความโล่งใจ “ขอบใจ” เขากระซิบ เสียงแผ่วเบาราวกับเสียงสะท้อนผ่านเสียงปะทะของวิญญาณ “ห้วงลึก…ไม่ใช่รสชาติของความว่างเปล่าอีกต่อไป”
ผมพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย “Bon appétit, Chef.” (รับประทานให้อร่อยนะ เชฟ)
ทันใดนั้น เศษซากของสัญลักษณ์ก็แตกสลายไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่โกรธเกรี้ยวครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะถูกดูดกลับเข้าสู่ห้วงลึก ร่างของมันสลายหายไปเหมือนควันที่ปลิวไปตามสายลม วิญญาณควายธนูยืนหยัด เปล่งประกายแสงด้วยพลังของมัน ก่อนจะจางหายไปเมื่อเสร็จหน้าที่
Sponsored Ads
———————
ผลที่ตาม
ห้องครัวกลับมาเงียบสงบ พลังอันน่าหวาดหวั่นสลายไป เหลือเพียงกลิ่นหอมของข้าวและสมุนไพรที่อบอวลอยู่ในอากาศ สัญลักษณ์ถูกทำลาย คำสาปถูกทำลาย และพลังมืดที่เคยสิงสถิตที่นี่ได้กลับสู่ที่มาของมันแล้ว
ผมมองไปรอบๆ แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก “เอาล่ะ คราวนี้ร้านนี้คงไม่ติดอยู่ในลิสทัวร์อาหารผีแล้วสินะ”
ในขณะเก็บอุปกรณ์ของผม ผมอดยิ้มกับความแปลกประหลาดของเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ ไล่ผีจากการค้นหาความสมบูรณ์แบบของเชฟ การต่อสู้ระหว่างควายธนูกับสิ่งมีชีวิตจากห้วงลึก และข้าวสารเสกที่โปรยลงบนคำสาปราวกับเครื่องปรุง มันเป็นคืนธรรมดาๆ อีกคืนหนึ่งในกรุงเทพฯ
ผมเก็บผ้ายันต์และเครื่องรางใส่กระเป๋า ความสงบที่เงียบสงัดเริ่มเข้ามาปกคลุมทั่วร้าน วิญญาณของเชฟเคนจิได้รับการปลดปล่อยแล้ว มรดกของเขาไม่ต้องผูกพันกับความสิ้นหวังของเขาอีกต่อไป
ผมมองครัวที่ว่างเปล่าอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก “คงไม่ต้องใช้ดาวมิชลินแล้วล่ะ”
แล้วผมปิดไฟในครัวและก้าวออกมา ทิ้งรสชาติแห่งห้วงลึกไว้เบื้องหลัง ในที่ที่มันควรจะอยู่