070-สิ่งที่ฟังเหมือนคำขอโทษ (แต่ไม่ใช่)

เช้าในสวนไม่ใช่สิ่งที่สร้างมาเพื่อคนเมืองที่มีบาปติดหลังและหมอนรองกระดูกเสื่อม 

ฟูกบางไป แสงแรงไป แม้แต่จักจั่นยังเงียบ เหมือนมันก็อายแทนฉัน ฉันตื่นขึ้นมาเพราะเสียงแรงดันน้ำทะเลาะกับตัวเอง ระบบน้ำหยดกระตุก ๆ เหมือนเขียนจดหมายเลิกกันด้วยมอร์สโค้ด

Sponsored Ads

ลาเต้ไม่ได้อยู่บนหมอน ปรากฏว่าเขาแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้ดูแลจิตวิญญาณของบ่อปลาไปแล้ว หางกระดิกเบา ๆ ดวงตาหรี่ลง เหมือนเพิ่งจบสมาธิภาวนาเรื่องความล้มเหลวของฉัน

แม่อยู่ในครัวแล้ว ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นครึ่งก้าว ไม่ได้ถามอะไร แค่พลิกของในกระทะเหมือนทำแบบนี้กับลูกชายมาทั้งชีวิต

“กินข้าวยัง”

มันไม่ใช่คำถามหรอก มันเป็นวินิจฉัยโรค

ฉันพยักหน้า ซึ่งโกหกเต็มปาก ความทรงจำบางอย่างก็แปลกดี ไม่ใช่เพราะมันเกิดขึ้นชัดเจน แต่เพราะเราจำมันไว้… เหมือนคนที่อยากจะเป็นลูกของบ้านนี้จริง ๆ แม้จะไม่แน่ใจว่าเคยอยู่ครบทุกฤดูร้อน แต่แทนที่จะไปกินข้าว ฉันกลับลากกล่องกระดาษจากกระเป๋าเดินทางไปวางบนโต๊ะไม้หน้าบ้าน ไม่มีพิธี ไม่มีคำพูด มีแค่ของห้าชิ้นเล็ก ๆ ที่หนักกว่าที่คิด

ชิ้นแรก: สำหรับแม่ 

กล่องเซรั่ม BrightBloom Tokyo Peony สีชมพูซากุระ

“แม่ไม่เคยชอบอะไรที่มีกลิ่นดอกไม้…” ฉันพึมพำ “แต่ตอนนี้…อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้”

แม่ไม่ได้พูดอะไร แค่เปิดกล่อง ลูบฝาเบา ๆ เหมือนกลัวมันจะหายไป แล้วเก็บไว้ในลิ้นชักเหมือนจดหมายที่ยังไม่พร้อมจะอ่าน

ชิ้นที่สอง: สำหรับพี่วัฒน์

เสื้อยืดกราฟิกแนวอุตสาหกรรมลาย “RB51 Power Tools Division”

“ไม่ฉูดฉาด ไม่เฟค…แค่ใช้งานได้ เหมือนที่เขาเคยเป็น”

เขารับไปโดยไม่มองหน้า พลิกดูด้านหลัง พยักหน้าเบา ๆ หนึ่งที แล้วเดินกลับไปทางวาล์วน้ำ กลับไปที่ท่อ กลับไปใช้ชีวิตแบบที่ไม่ต้องมีบทสนทนา

ชิ้นที่สาม: สำหรับแป้ง

ฉันวางไว้หน้าห้องเธอโดยไม่เคาะประตู

ฟิกเกอร์ Princess Lightwave สมุดโน้ตแฟนตาซี กับปากกากลิ่นบับเบิลกัม

“เธออาจโตเกินสิ่งเหล่านี้แล้ว…  แต่เธอจะรู้ว่าฉันยังจำได้”

ฉันแปะโพสต์อิทไว้ด้านบน ไม่มีชื่อ มีแค่ความทรงจำ

ชิ้นที่สี่: สำหรับพ่อ

กล่องใส่เครื่องตัดผมไฟฟ้า ที่มีเครื่องบดกาแฟในตัว เพราะมีอยู่สองอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย ทรงผม กับรสนิยมกาแฟของเขา

พ่อยังไม่ออกจากห้อง หรืออาจจะออกแล้ว แล้วตัดสินใจว่าฉันไม่ควรค่ากับการเดินข้ามผ่าน

ชิ้นที่ห้า: สำหรับ…ใครบางคน

กระเป๋าใส่เหรียญที่ทำจากผ้าทอมือของชาวเขา สวยเกินไปสำหรับวันตลาด แต่เงียบเกินไปสำหรับการตั้งชื่อ ฉันไม่ได้แพ็กมันรวมกับคนอื่น แค่สอดมันเข้าไปในซับใน ไม่ได้ติดป้าย ไม่ได้ห่อ

บางทีฉันอาจจะรู้ว่าเป็นของใครในภายหลัง หรือบางทีฉันอาจไม่อยากยอมรับว่าฉันรู้แล้วก็ได้

ลาเต้กลับมา แล้วกระโดดขึ้นม้านั่งเหมือนพลาดช่วงที่ฉันพยายามเป็นลูกชายที่ดี

ฉันมองกล่องเปล่า แล้วหันไปมองบ่อปลา แล้วมองแมวที่ขโมยหมอนและศีลธรรมของฉันไป ของฝากพวกนั้นไม่ใช่คำขอโทษ แต่ก็คล้ายอยู่

บางครั้ง…มันก็ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วจริง ๆ

Sponsored Ads

———————

แม่บอกว่าฉันผอมลง (ซึ่งไม่จริง)

อาหารเช้าในสวนนี้ไม่มีพิธีอะไร มีแค่ไอน้ำ กับสายตาพิพากษา

ข้าวสวยหนึ่งจาน ไข่ดาวฟองเดียว หน้าตาเหมือนเคยผ่านการตัดสินจากสวรรค์แล้วสอบตก จานผักบุ้งผัดกระเทียมที่ดูเหมือนเคยได้ยินทุกการทะเลาะในบ้านหลังนี้ กับหม้ออลูมิเนียมใส่ต้มจืดมะระยัดไส้ อุ่น ๆ เงียบ ๆ เหมือนกำลังขอโทษอะไรบางอย่าง ข้าง ๆ กันคือแก้วกาแฟ 3-in-1 ที่มีกลิ่นเหมือนวิญญาณของน้ำตาลที่ล่วงลับไปแล้ว

แม่เหลือบตามองมาจากหลังกาน้ำ

“ดูผอมลงนะ”

จุกกว่าที่พี่ต้นบอกว่าคอร์ดฉันวกวนเกินไปอีก

“เท่าเดิมนั่นแหละ…แค่จัดเรียงใหม่ให้ประหยัดที่ขึ้น”

แม่ไม่ขำ แค่ตักต้มจืดเพิ่มให้อีกเหมือนกำลังเตรียมรับศึกทางวิญญาณ

บางทีก็รู้สึกเหมือนฉันเคยกินข้าวตรงนี้มานับร้อยครั้ง แม้ว่าความทรงจำจะเหมือนภาพถ่ายที่มีใครบางคนหน้าเบลอ ๆ อยู่ตรงขอบเฟรม บางเฟรมเหมือนฝันจากอนาคต บางเฟรมเหมือนอดีตของคนอื่น แต่ตอนนี้ ทุกเฟรม…มันอยู่ในหัวเดียวกันแล้ว

แต่มันก็เพียงพอจะทำให้ฉันวางช้อนช้า ๆ และรู้ว่า…ฉันกลับมาถูกบ้าน

ฉันกำลังต่อรองสันติภาพกับไข่ดาวได้ครึ่งทาง ลาเต้ก็เดินเข้ามาจากสวน หางตั้ง คางเชิด หน้าตาแบบว่า โต๊ะนี้ของข้า และบ้านสวนนี้ก็อาจจะด้วย

เขากระโดดขึ้นม้านั่ง หมุนตัวช้า ๆ อย่างจงใจ ก่อนจะมีเสียงคำรามต่ำ ๆ ดังขึ้นจากมุมซ้ายของเวที

ผู้มาใหม่: น้ำแข็งใส สีขาว-คาราเมล อยู่ในรูปธรรมของคำว่า ขี้หงุดหงิด นั่งอยู่ข้างเสาระเบียงเหมือนเทพเจ้าไม้แกะสลักจากความแค้นในท้องถิ่น

เธอไม่ขู่ ไม่ขยับ แค่ มอง ลาเต้

เขาหยุดชะงัก ขาหน้าลอยกลางอากาศ หางสะดุด

เธอกะพริบตาช้า ๆ  เหมือนผู้พิพากษาในศาลแมวโบราณที่กำลังตัดสินโทษประหารทางศีลธรรม

“นั่นหมอนพ่อที่แมวนายมันนอนเหรอ?”

เสียงดังมาจากด้านหลัง แป้ง ผมหางม้าหลุด ๆ เสื้อฮู้ดตัวใหญ่ที่น่าจะรอดจากสงครามฟิคชั่นมาสามรอบ ในมือถือฟิกเกอร์ Princess Lightwave ไม่ได้ขว้าง ไม่ได้ประชด แค่ถือไว้

“นึกว่านายบอกว่าฉันโตเกินแล้วซะอีก”

“ก็บอกให้แล้วไง”

“งั้นให้ทำไม” เธอถามเหมือนรู้คำตอบอยู่แล้ว 

ฉันอ้าปากจะตอบ แต่รู้ตัวอีกทีว่ามือกำลังเขี่ยข้าวแทน มันง่ายกว่าการอธิบายว่าบ้านหลังหนึ่งจะรับรองคนแปลกหน้าทางความทรงจำได้แค่ไหน “จะได้รู้ว่าฉันยังจำได้ ถึงแม้เธอจะกรอกตาก็ตาม”

เธอเปิดสมุด ระหว่างหน้าสองกับสาม มีเศษกระดาษแผ่นพับ ไม่ใช่จากฉัน บทกลอนสั้น ๆ เนื้อเพลง คอร์ด และตัวหนังสือขยุกขยิกข้างขอบกระดาษ ลายมือของฉัน แต่ไม่ใช่จากสมุดเล่มนี้

เธอมองฉันแบบ หืม? แผ่นนี้เหรอ? บังเอิญแหละ  แล้วสอดมันกลับเข้าไปเหมือนนักมายากลเก็บไพ่ตาย

ลาเต้ย้ายตัวเองไปอยู่ใต้โต๊ะอย่างเงียบ ๆ น้ำแข็งใสมองตาม แล้วหันหลังเดินจากไปเหมือนเพิ่งปิดแฟ้มคดีสำคัญ

แม่เติมกาแฟให้ฉันอีก ต้มจืดยังอุ่นอยู่ ข้าวเริ่มแห้งนิด ๆ แต่รสชาติของความกระอักกระอ่วนมันคุ้นดี และครั้งนี้…ฉันไม่ได้เกลียดมันเลย

Sponsored Ads

———————

ยุทธการถอนกำลังจากห้องรับแขก

ห้องรับแขกไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ตั้งแต่วันที่ฉันหายตัวไปจากบ้าน โซฟาตัวเดิม ที่มีสปริงพัง ๆ ฝังแน่นในความทรงจำ พัดลมตัวเดิม ที่ส่งเสียงเหมือนมีความเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจในชีวิตของฉัน สมุดโน้ตที่ใช้ไปครึ่งเล่ม วางกองอยู่ ไม่มีใครกล้าโยนทิ้ง

มีการเพิ่มเข้ามาใหม่เพียงตัวเดียวคือแมวตัวที่สองและความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นจากความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

“เธอไม่เติมน้ำให้แมว” ฉันชี้ไปที่ถ้วยเซรามิกที่แห้งกว่าเงินในบัญชีหลังหักหนี้

“ให้อาหารไปแล้ว” แป้งตอบ โดยไม่เงยหน้าจากสมุดโน้ต

“ให้อะไร? อดีตอันเจ็บปวดกับทัศนคติอคติทางประวัติศาสตร์?”

หมอนลอยมา 

ฉันหลบได้

ลาเต้นั่งอยู่บนทีวี ดูเหมือนนี่คือซิทคอมโปรดของเขา ส่วนน้ำแข็งใส นั่งอยู่ตรงชั้นวางรองเท้า หางกระดิกช้า ๆ เหมือนกำลังเช็กบัญชีความผิดสะสมในบ้านหลังนี้

“อีกอย่างนะ” ฉันเสริม “ที่จูนกีตาร์ของฉัน ไปอยู่ในลิ้นชักเธอได้ยังไง”

“เพราะนายทิ้งมันไว้ตั้งแต่เจ็ดปีก่อน” 

แป้งตอบ “ของที่ถูกทิ้งโดยไม่ดูแล ถือว่าโอนกรรมสิทธิ์ตามธรรมนูญพี่น้องเวียงป่าเป้า มาตรา 4”

“ฉันไม่เคยเซ็น”

“นั่นมาตรา 1”

เธอเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดแฟนตาซีด้วยความเร็วระดับความคับแค้นใจ

ฉันโน้มไปดู “แฟนฟิคเหรอ”

“ไม่ใช่ มันเป็น AU แนวดาร์กอาคาเดเมีย ที่จักรวาลนี้ เจ้าหญิง Lightwave ข้ามมิติมาเจอหนี้ กยศ. กับความไม่กล้าพูดความรู้สึก”

ฉันหยุดนิดหนึ่ง บางทีฉันควรพูดอะไรอย่าง “ดีใจที่เธอยังเขียนอยู่” หรือ “ขอบใจที่ยังเก็บสมุดไว้”  แต่คำพวกนั้นติดอยู่กลางอก เหมือนเพลงที่ยังหาท่อนฮุกไม่ได้ บางทีก็ไม่แน่ใจว่าความทรงจำพวกนี้เป็นของฉันในปี 2544 หรือของอีกคนที่ยังจำได้แม้กระทั่งตอนที่เธอเลิกเขียนไป ฉันเลยทำในสิ่งที่คนพี่ที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นพี่ควรทำ ประชดกลับไปเบา ๆ

“งั้นก็คืออัตชีวประวัติของเธอนั่นแหละ”

เธอไม่ตอบ แต่กลับผิวปากเบา ๆ

ลาเต้โดดลงจากทีวี เดินไปหา แล้วกลิ้งตัวลงนอนตักเธอโดยไม่รักษาศักดิ์ศรีเลยสักนิด

“ทรยศ” ฉันบ่น

แป้งก้มมอง “เฮ้ย ชื่ออะไรนะ? โมจิ? ถั่วแดง? ท่านฟูฟ่องที่สาม?”

“ลาเต้”

“ว้าว ชื่อกรุงเทพฯ สุด ๆ”

“จะให้ชื่ออะไรล่ะ มิสเตอร์รู้สึกผิดเรื้อรังหรือไง?”

เธอหัวเราะเสียงฟึด ลาเต้ก็ครางเบา ๆ เหมือนจะบอกว่า ใช่เลย

ส่วนน้ำแข็งใส ลุกขึ้นอย่างจงใจ แล้วมานั่งขวางตรงระหว่างฉันกับประตู หางม้วน หน้าตาเหมือนเทพเจ้าจากยุคก่อนประวัติศาสตร์

ฉันกำลังโดนล้อม โดยแมว นี่ไม่ใช่ภาพที่ฉันจินตนาการไว้ตอนกลับบ้าน

“รู้ไหม” ฉันพยายามยึดพื้นที่ศีลธรรมกลับมา “ฉันกลับมาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์นะเว้ย”

“อือ ฮึ”

“ฉันเอาของฝากมาด้วย”

“อือ”

“ฉันอาจจะโตขึ้นแล้วก็ได้”

เธอเงยหน้ามองตรง 

“แต่นายยังกรนอยู่”

“นั่นมันไม่ใช่เจตนา”

“เหมือนกับสไตล์การแต่งเพลงของนายไง ไม่มีใครตั้งใจจะฟัง แต่เราก็ยังฟังอยู่ดีแหละ”

เสียงแม่ตะโกนจากในครัว พูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับขิง น้ำปลา และใครบางคนที่ลืมปิดแก๊ส

แป้งลุกขึ้น ยกลาเต้ลงจากตักเบา ๆ

“ถอนกำลัง” เธอกระซิบ แต่พูดกับแมว ไม่ใช่ฉัน

เขาเดินตาม

Sponsored Ads

———————

รากไม้มักไม่พูด แต่พวกมันรอ

ฉันนึกว่าจะรู้สึกอะไรบางอย่าง ก้อนจุก ความร้อน หรืออะไรที่คล้าย ๆ อภัยโทษ แต่ไม่มี มีแค่ชื่อ ที่เคยเป็นสิ่งต้องห้ามในบ้านเช่า และกลายเป็นคำธรรมดาอีกครั้ง ตอนเช้าที่อากาศยังไม่ร้อน

“พ่ออยู่ไหน”

ฉันถามเหมือนถามหาขวดซีอิ๊วขาว ไม่ใช่ประโยคแรกในรอบเจ็ดปีที่เอ่ยชื่อเขาออกมา

แม่ไม่สะดุ้ง 

“ตรงแปลงตะวันออก แถววาล์วน้ำ”

แน่นอน วาล์วมันไม่เถียง มันแค่รั่ว

ฉันสวมรองเท้าแตะ ที่เล็กไปหนึ่งเบอร์ สีชมพู…แบบน่าสงสัย ลาเต้พยายามจะเดินตาม แต่น้ำแข็งใสขวางประตูไว้ ท่าทางเหมือนเทพเจ้าเกษียณแห่งสิทธิ์ครอบครองพื้นที่ แมวยังรู้เลยว่าใครเป็นเจ้าบ้าน ใครเป็นแขก ฉันเดินออกมาเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตัวว่า ขาในปี 2544 กับหัวใจในปี 2568 มันเริ่มเดินพร้อมกันแล้ว

กลิ่นในสวนเหมือนไม้เปียกกับหญ้าไหม้แดด กลิ่นที่ไม่มีวันใส่ขวด ไม่มีวันวางขาย เมืองถึงลืมว่ามันเคยมีอยู่

ฉันเดินผ่านต้นมะขามต้นเก่า ต้นที่เคยผูกเทปคาสเซ็ตต์แล้วทำเสียงเหมือนจัดรายการวิทยุลับ สื่อสารกับโลกที่ไม่เคยฟังกลับ ตอนนี้มันมีเถาวัลย์ ทุกอย่างมีเถาวัลย์ไปหมด

ฉันเจอพ่อ กำลังนั่งยอง ๆ จมแขนลงไปในอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนม้ามของสวน เขาไม่เงยหน้า 

“นึกว่ายังไม่ตื่น”

“แจกของครบแล้ว” ฉันตอบ “ของพ่อมีใบมีดหมุน ๆ ด้วย”

“อืม”

ซึ่งในภาษาของเขา อาจจะแปลว่า ‘ขอบใจ’ หรือ ‘รุ่นเก่าคมกว่าเยอะ’

เรายืนอยู่แบบนั้น เหมือนเครื่องมือสองชิ้นที่วางลืมไว้กลางแดด เขาทำงาน ฉันยืนดู ความเงียบไม่ได้อึดอัด แต่มันแน่น

ฉันพูดขึ้น เหมือนชวนคุยเรื่องฟ้าฝน

“เคยคิดปลูกอะไร…ที่มันทำเงินขึ้นมาหน่อยไหม”

เขาหยุดนิดหนึ่ง

“หมายถึงอะไรล่ะ”

“ก็แบบ…ผลไม้ที่คนกรุงเทพฯ ชอบถ่ายลงบอร์ดแล้วรู้สึกไฮโซ”

เขาหัวเราะในลำคอ เสียงเบามาก

“อย่างพวกที่ขึ้นราเร็ว ใช้น้ำเยอะ และเลี้ยงยากกว่าลูกคน?”

“ใช่ แบบนั้น”

เขาหมุนอะไรบางอย่าง แล้วเช็ดมือลงบนผ้าขี้ริ้วที่น่าจะเกษียณมาสองรอบแล้ว

“จะรดน้ำเองไหม”

“อาจจะ”

คราวนี้ เขาหยุดจริง ๆ เงยหน้ามามองฉัน แค่ครั้งเดียว แล้วก็หันกลับไปดูวาล์วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“จะเว้นไว้ให้หนึ่งแถว”

ฉันไม่ได้ยิ้ม แต่บางอย่างในอกมันคลายออกนิดหนึ่ง ไม่ใช่คำอนุญาต ไม่ใช่การต้อนรับแค่ “พื้นที่” สำหรับบ้านหลังนี้ นั่นคือเสียงที่ดังที่สุดแล้ว

Sponsored Ads