เช้าในสวนไม่ใช่สิ่งที่สร้างมาเพื่อคนเมืองที่มีบาปติดหลังและหมอนรองกระดูกเสื่อม
ฟูกบางไป แสงแรงไป แม้แต่จักจั่นยังเงียบ เหมือนมันก็อายแทนฉัน ฉันตื่นขึ้นมาเพราะเสียงแรงดันน้ำทะเลาะกับตัวเอง ระบบน้ำหยดกระตุก ๆ เหมือนเขียนจดหมายเลิกกันด้วยมอร์สโค้ด
Sponsored Ads
ลาเต้ไม่ได้อยู่บนหมอน ปรากฏว่าเขาแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้ดูแลจิตวิญญาณของบ่อปลาไปแล้ว หางกระดิกเบา ๆ ดวงตาหรี่ลง เหมือนเพิ่งจบสมาธิภาวนาเรื่องความล้มเหลวของฉัน
แม่อยู่ในครัวแล้ว ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นครึ่งก้าว ไม่ได้ถามอะไร แค่พลิกของในกระทะเหมือนทำแบบนี้กับลูกชายมาทั้งชีวิต
“กินข้าวยัง”
มันไม่ใช่คำถามหรอก มันเป็นวินิจฉัยโรค
ฉันพยักหน้า ซึ่งโกหกเต็มปาก ความทรงจำบางอย่างก็แปลกดี ไม่ใช่เพราะมันเกิดขึ้นชัดเจน แต่เพราะเราจำมันไว้… เหมือนคนที่อยากจะเป็นลูกของบ้านนี้จริง ๆ แม้จะไม่แน่ใจว่าเคยอยู่ครบทุกฤดูร้อน แต่แทนที่จะไปกินข้าว ฉันกลับลากกล่องกระดาษจากกระเป๋าเดินทางไปวางบนโต๊ะไม้หน้าบ้าน ไม่มีพิธี ไม่มีคำพูด มีแค่ของห้าชิ้นเล็ก ๆ ที่หนักกว่าที่คิด
ชิ้นแรก: สำหรับแม่
กล่องเซรั่ม BrightBloom Tokyo Peony สีชมพูซากุระ
“แม่ไม่เคยชอบอะไรที่มีกลิ่นดอกไม้…” ฉันพึมพำ “แต่ตอนนี้…อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้”
แม่ไม่ได้พูดอะไร แค่เปิดกล่อง ลูบฝาเบา ๆ เหมือนกลัวมันจะหายไป แล้วเก็บไว้ในลิ้นชักเหมือนจดหมายที่ยังไม่พร้อมจะอ่าน
ชิ้นที่สอง: สำหรับพี่วัฒน์
เสื้อยืดกราฟิกแนวอุตสาหกรรมลาย “RB51 Power Tools Division”
“ไม่ฉูดฉาด ไม่เฟค…แค่ใช้งานได้ เหมือนที่เขาเคยเป็น”
เขารับไปโดยไม่มองหน้า พลิกดูด้านหลัง พยักหน้าเบา ๆ หนึ่งที แล้วเดินกลับไปทางวาล์วน้ำ กลับไปที่ท่อ กลับไปใช้ชีวิตแบบที่ไม่ต้องมีบทสนทนา
ชิ้นที่สาม: สำหรับแป้ง
ฉันวางไว้หน้าห้องเธอโดยไม่เคาะประตู
ฟิกเกอร์ Princess Lightwave สมุดโน้ตแฟนตาซี กับปากกากลิ่นบับเบิลกัม
“เธออาจโตเกินสิ่งเหล่านี้แล้ว… แต่เธอจะรู้ว่าฉันยังจำได้”
ฉันแปะโพสต์อิทไว้ด้านบน ไม่มีชื่อ มีแค่ความทรงจำ
ชิ้นที่สี่: สำหรับพ่อ
กล่องใส่เครื่องตัดผมไฟฟ้า ที่มีเครื่องบดกาแฟในตัว เพราะมีอยู่สองอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย ทรงผม กับรสนิยมกาแฟของเขา
พ่อยังไม่ออกจากห้อง หรืออาจจะออกแล้ว แล้วตัดสินใจว่าฉันไม่ควรค่ากับการเดินข้ามผ่าน
ชิ้นที่ห้า: สำหรับ…ใครบางคน
กระเป๋าใส่เหรียญที่ทำจากผ้าทอมือของชาวเขา สวยเกินไปสำหรับวันตลาด แต่เงียบเกินไปสำหรับการตั้งชื่อ ฉันไม่ได้แพ็กมันรวมกับคนอื่น แค่สอดมันเข้าไปในซับใน ไม่ได้ติดป้าย ไม่ได้ห่อ
บางทีฉันอาจจะรู้ว่าเป็นของใครในภายหลัง หรือบางทีฉันอาจไม่อยากยอมรับว่าฉันรู้แล้วก็ได้
ลาเต้กลับมา แล้วกระโดดขึ้นม้านั่งเหมือนพลาดช่วงที่ฉันพยายามเป็นลูกชายที่ดี
ฉันมองกล่องเปล่า แล้วหันไปมองบ่อปลา แล้วมองแมวที่ขโมยหมอนและศีลธรรมของฉันไป ของฝากพวกนั้นไม่ใช่คำขอโทษ แต่ก็คล้ายอยู่
บางครั้ง…มันก็ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วจริง ๆ
Sponsored Ads
———————
แม่บอกว่าฉันผอมลง (ซึ่งไม่จริง)
อาหารเช้าในสวนนี้ไม่มีพิธีอะไร มีแค่ไอน้ำ กับสายตาพิพากษา
ข้าวสวยหนึ่งจาน ไข่ดาวฟองเดียว หน้าตาเหมือนเคยผ่านการตัดสินจากสวรรค์แล้วสอบตก จานผักบุ้งผัดกระเทียมที่ดูเหมือนเคยได้ยินทุกการทะเลาะในบ้านหลังนี้ กับหม้ออลูมิเนียมใส่ต้มจืดมะระยัดไส้ อุ่น ๆ เงียบ ๆ เหมือนกำลังขอโทษอะไรบางอย่าง ข้าง ๆ กันคือแก้วกาแฟ 3-in-1 ที่มีกลิ่นเหมือนวิญญาณของน้ำตาลที่ล่วงลับไปแล้ว
แม่เหลือบตามองมาจากหลังกาน้ำ
“ดูผอมลงนะ”
จุกกว่าที่พี่ต้นบอกว่าคอร์ดฉันวกวนเกินไปอีก
“เท่าเดิมนั่นแหละ…แค่จัดเรียงใหม่ให้ประหยัดที่ขึ้น”
แม่ไม่ขำ แค่ตักต้มจืดเพิ่มให้อีกเหมือนกำลังเตรียมรับศึกทางวิญญาณ
บางทีก็รู้สึกเหมือนฉันเคยกินข้าวตรงนี้มานับร้อยครั้ง แม้ว่าความทรงจำจะเหมือนภาพถ่ายที่มีใครบางคนหน้าเบลอ ๆ อยู่ตรงขอบเฟรม บางเฟรมเหมือนฝันจากอนาคต บางเฟรมเหมือนอดีตของคนอื่น แต่ตอนนี้ ทุกเฟรม…มันอยู่ในหัวเดียวกันแล้ว
แต่มันก็เพียงพอจะทำให้ฉันวางช้อนช้า ๆ และรู้ว่า…ฉันกลับมาถูกบ้าน
ฉันกำลังต่อรองสันติภาพกับไข่ดาวได้ครึ่งทาง ลาเต้ก็เดินเข้ามาจากสวน หางตั้ง คางเชิด หน้าตาแบบว่า โต๊ะนี้ของข้า และบ้านสวนนี้ก็อาจจะด้วย
เขากระโดดขึ้นม้านั่ง หมุนตัวช้า ๆ อย่างจงใจ ก่อนจะมีเสียงคำรามต่ำ ๆ ดังขึ้นจากมุมซ้ายของเวที
ผู้มาใหม่: น้ำแข็งใส สีขาว-คาราเมล อยู่ในรูปธรรมของคำว่า ขี้หงุดหงิด นั่งอยู่ข้างเสาระเบียงเหมือนเทพเจ้าไม้แกะสลักจากความแค้นในท้องถิ่น
เธอไม่ขู่ ไม่ขยับ แค่ มอง ลาเต้
เขาหยุดชะงัก ขาหน้าลอยกลางอากาศ หางสะดุด
เธอกะพริบตาช้า ๆ เหมือนผู้พิพากษาในศาลแมวโบราณที่กำลังตัดสินโทษประหารทางศีลธรรม
“นั่นหมอนพ่อที่แมวนายมันนอนเหรอ?”
เสียงดังมาจากด้านหลัง แป้ง ผมหางม้าหลุด ๆ เสื้อฮู้ดตัวใหญ่ที่น่าจะรอดจากสงครามฟิคชั่นมาสามรอบ ในมือถือฟิกเกอร์ Princess Lightwave ไม่ได้ขว้าง ไม่ได้ประชด แค่ถือไว้
“นึกว่านายบอกว่าฉันโตเกินแล้วซะอีก”
“ก็บอกให้แล้วไง”
“งั้นให้ทำไม” เธอถามเหมือนรู้คำตอบอยู่แล้ว
ฉันอ้าปากจะตอบ แต่รู้ตัวอีกทีว่ามือกำลังเขี่ยข้าวแทน มันง่ายกว่าการอธิบายว่าบ้านหลังหนึ่งจะรับรองคนแปลกหน้าทางความทรงจำได้แค่ไหน “จะได้รู้ว่าฉันยังจำได้ ถึงแม้เธอจะกรอกตาก็ตาม”
เธอเปิดสมุด ระหว่างหน้าสองกับสาม มีเศษกระดาษแผ่นพับ ไม่ใช่จากฉัน บทกลอนสั้น ๆ เนื้อเพลง คอร์ด และตัวหนังสือขยุกขยิกข้างขอบกระดาษ ลายมือของฉัน แต่ไม่ใช่จากสมุดเล่มนี้
เธอมองฉันแบบ หืม? แผ่นนี้เหรอ? บังเอิญแหละ แล้วสอดมันกลับเข้าไปเหมือนนักมายากลเก็บไพ่ตาย
ลาเต้ย้ายตัวเองไปอยู่ใต้โต๊ะอย่างเงียบ ๆ น้ำแข็งใสมองตาม แล้วหันหลังเดินจากไปเหมือนเพิ่งปิดแฟ้มคดีสำคัญ
แม่เติมกาแฟให้ฉันอีก ต้มจืดยังอุ่นอยู่ ข้าวเริ่มแห้งนิด ๆ แต่รสชาติของความกระอักกระอ่วนมันคุ้นดี และครั้งนี้…ฉันไม่ได้เกลียดมันเลย
Sponsored Ads
———————
ยุทธการถอนกำลังจากห้องรับแขก
ห้องรับแขกไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ตั้งแต่วันที่ฉันหายตัวไปจากบ้าน โซฟาตัวเดิม ที่มีสปริงพัง ๆ ฝังแน่นในความทรงจำ พัดลมตัวเดิม ที่ส่งเสียงเหมือนมีความเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจในชีวิตของฉัน สมุดโน้ตที่ใช้ไปครึ่งเล่ม วางกองอยู่ ไม่มีใครกล้าโยนทิ้ง
มีการเพิ่มเข้ามาใหม่เพียงตัวเดียวคือแมวตัวที่สองและความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นจากความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
“เธอไม่เติมน้ำให้แมว” ฉันชี้ไปที่ถ้วยเซรามิกที่แห้งกว่าเงินในบัญชีหลังหักหนี้
“ให้อาหารไปแล้ว” แป้งตอบ โดยไม่เงยหน้าจากสมุดโน้ต
“ให้อะไร? อดีตอันเจ็บปวดกับทัศนคติอคติทางประวัติศาสตร์?”
หมอนลอยมา
ฉันหลบได้
ลาเต้นั่งอยู่บนทีวี ดูเหมือนนี่คือซิทคอมโปรดของเขา ส่วนน้ำแข็งใส นั่งอยู่ตรงชั้นวางรองเท้า หางกระดิกช้า ๆ เหมือนกำลังเช็กบัญชีความผิดสะสมในบ้านหลังนี้
“อีกอย่างนะ” ฉันเสริม “ที่จูนกีตาร์ของฉัน ไปอยู่ในลิ้นชักเธอได้ยังไง”
“เพราะนายทิ้งมันไว้ตั้งแต่เจ็ดปีก่อน”
แป้งตอบ “ของที่ถูกทิ้งโดยไม่ดูแล ถือว่าโอนกรรมสิทธิ์ตามธรรมนูญพี่น้องเวียงป่าเป้า มาตรา 4”
“ฉันไม่เคยเซ็น”
“นั่นมาตรา 1”
เธอเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดแฟนตาซีด้วยความเร็วระดับความคับแค้นใจ
ฉันโน้มไปดู “แฟนฟิคเหรอ”
“ไม่ใช่ มันเป็น AU แนวดาร์กอาคาเดเมีย ที่จักรวาลนี้ เจ้าหญิง Lightwave ข้ามมิติมาเจอหนี้ กยศ. กับความไม่กล้าพูดความรู้สึก”
ฉันหยุดนิดหนึ่ง บางทีฉันควรพูดอะไรอย่าง “ดีใจที่เธอยังเขียนอยู่” หรือ “ขอบใจที่ยังเก็บสมุดไว้” แต่คำพวกนั้นติดอยู่กลางอก เหมือนเพลงที่ยังหาท่อนฮุกไม่ได้ บางทีก็ไม่แน่ใจว่าความทรงจำพวกนี้เป็นของฉันในปี 2544 หรือของอีกคนที่ยังจำได้แม้กระทั่งตอนที่เธอเลิกเขียนไป ฉันเลยทำในสิ่งที่คนพี่ที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นพี่ควรทำ ประชดกลับไปเบา ๆ
“งั้นก็คืออัตชีวประวัติของเธอนั่นแหละ”
เธอไม่ตอบ แต่กลับผิวปากเบา ๆ
ลาเต้โดดลงจากทีวี เดินไปหา แล้วกลิ้งตัวลงนอนตักเธอโดยไม่รักษาศักดิ์ศรีเลยสักนิด
“ทรยศ” ฉันบ่น
แป้งก้มมอง “เฮ้ย ชื่ออะไรนะ? โมจิ? ถั่วแดง? ท่านฟูฟ่องที่สาม?”
“ลาเต้”
“ว้าว ชื่อกรุงเทพฯ สุด ๆ”
“จะให้ชื่ออะไรล่ะ มิสเตอร์รู้สึกผิดเรื้อรังหรือไง?”
เธอหัวเราะเสียงฟึด ลาเต้ก็ครางเบา ๆ เหมือนจะบอกว่า ใช่เลย
ส่วนน้ำแข็งใส ลุกขึ้นอย่างจงใจ แล้วมานั่งขวางตรงระหว่างฉันกับประตู หางม้วน หน้าตาเหมือนเทพเจ้าจากยุคก่อนประวัติศาสตร์
ฉันกำลังโดนล้อม โดยแมว นี่ไม่ใช่ภาพที่ฉันจินตนาการไว้ตอนกลับบ้าน
“รู้ไหม” ฉันพยายามยึดพื้นที่ศีลธรรมกลับมา “ฉันกลับมาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์นะเว้ย”
“อือ ฮึ”
“ฉันเอาของฝากมาด้วย”
“อือ”
“ฉันอาจจะโตขึ้นแล้วก็ได้”
เธอเงยหน้ามองตรง
“แต่นายยังกรนอยู่”
“นั่นมันไม่ใช่เจตนา”
“เหมือนกับสไตล์การแต่งเพลงของนายไง ไม่มีใครตั้งใจจะฟัง แต่เราก็ยังฟังอยู่ดีแหละ”
เสียงแม่ตะโกนจากในครัว พูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับขิง น้ำปลา และใครบางคนที่ลืมปิดแก๊ส
แป้งลุกขึ้น ยกลาเต้ลงจากตักเบา ๆ
“ถอนกำลัง” เธอกระซิบ แต่พูดกับแมว ไม่ใช่ฉัน
เขาเดินตาม
Sponsored Ads
———————
รากไม้มักไม่พูด แต่พวกมันรอ
ฉันนึกว่าจะรู้สึกอะไรบางอย่าง ก้อนจุก ความร้อน หรืออะไรที่คล้าย ๆ อภัยโทษ แต่ไม่มี มีแค่ชื่อ ที่เคยเป็นสิ่งต้องห้ามในบ้านเช่า และกลายเป็นคำธรรมดาอีกครั้ง ตอนเช้าที่อากาศยังไม่ร้อน
“พ่ออยู่ไหน”
ฉันถามเหมือนถามหาขวดซีอิ๊วขาว ไม่ใช่ประโยคแรกในรอบเจ็ดปีที่เอ่ยชื่อเขาออกมา
แม่ไม่สะดุ้ง
“ตรงแปลงตะวันออก แถววาล์วน้ำ”
แน่นอน วาล์วมันไม่เถียง มันแค่รั่ว
ฉันสวมรองเท้าแตะ ที่เล็กไปหนึ่งเบอร์ สีชมพู…แบบน่าสงสัย ลาเต้พยายามจะเดินตาม แต่น้ำแข็งใสขวางประตูไว้ ท่าทางเหมือนเทพเจ้าเกษียณแห่งสิทธิ์ครอบครองพื้นที่ แมวยังรู้เลยว่าใครเป็นเจ้าบ้าน ใครเป็นแขก ฉันเดินออกมาเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตัวว่า ขาในปี 2544 กับหัวใจในปี 2568 มันเริ่มเดินพร้อมกันแล้ว
กลิ่นในสวนเหมือนไม้เปียกกับหญ้าไหม้แดด กลิ่นที่ไม่มีวันใส่ขวด ไม่มีวันวางขาย เมืองถึงลืมว่ามันเคยมีอยู่
ฉันเดินผ่านต้นมะขามต้นเก่า ต้นที่เคยผูกเทปคาสเซ็ตต์แล้วทำเสียงเหมือนจัดรายการวิทยุลับ สื่อสารกับโลกที่ไม่เคยฟังกลับ ตอนนี้มันมีเถาวัลย์ ทุกอย่างมีเถาวัลย์ไปหมด
ฉันเจอพ่อ กำลังนั่งยอง ๆ จมแขนลงไปในอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนม้ามของสวน เขาไม่เงยหน้า
“นึกว่ายังไม่ตื่น”
“แจกของครบแล้ว” ฉันตอบ “ของพ่อมีใบมีดหมุน ๆ ด้วย”
“อืม”
ซึ่งในภาษาของเขา อาจจะแปลว่า ‘ขอบใจ’ หรือ ‘รุ่นเก่าคมกว่าเยอะ’
เรายืนอยู่แบบนั้น เหมือนเครื่องมือสองชิ้นที่วางลืมไว้กลางแดด เขาทำงาน ฉันยืนดู ความเงียบไม่ได้อึดอัด แต่มันแน่น
ฉันพูดขึ้น เหมือนชวนคุยเรื่องฟ้าฝน
“เคยคิดปลูกอะไร…ที่มันทำเงินขึ้นมาหน่อยไหม”
เขาหยุดนิดหนึ่ง
“หมายถึงอะไรล่ะ”
“ก็แบบ…ผลไม้ที่คนกรุงเทพฯ ชอบถ่ายลงบอร์ดแล้วรู้สึกไฮโซ”
เขาหัวเราะในลำคอ เสียงเบามาก
“อย่างพวกที่ขึ้นราเร็ว ใช้น้ำเยอะ และเลี้ยงยากกว่าลูกคน?”
“ใช่ แบบนั้น”
เขาหมุนอะไรบางอย่าง แล้วเช็ดมือลงบนผ้าขี้ริ้วที่น่าจะเกษียณมาสองรอบแล้ว
“จะรดน้ำเองไหม”
“อาจจะ”
คราวนี้ เขาหยุดจริง ๆ เงยหน้ามามองฉัน แค่ครั้งเดียว แล้วก็หันกลับไปดูวาล์วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จะเว้นไว้ให้หนึ่งแถว”
ฉันไม่ได้ยิ้ม แต่บางอย่างในอกมันคลายออกนิดหนึ่ง ไม่ใช่คำอนุญาต ไม่ใช่การต้อนรับแค่ “พื้นที่” สำหรับบ้านหลังนี้ นั่นคือเสียงที่ดังที่สุดแล้ว
Sponsored Ads